วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ครั้งแรกกับการสั่งซื้อหนังสือที่ nstore

ทิ้งการอ่านการ์ตูนหรืองมังงะไปนาน พอกลับมาอ่านใหม่ ก็เลยมีหลายเรื่องที่ต้องตาม "เก็บ" ซึ่งก็หาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ร้านเช่าการ์ตูนและนิยายขาประจำก็ปิดตัวไปแล้ว เพราะเจ้าของร้านทำไม่ไหว พออายุเยอะเข้า สังขารก็ไม่ให้ ณ ตอนนี้ก็เลยตามอ่านเอาบนเว็บไซต์บ้าง หาซื้อจากร้านยี่ปั๊วหรือร้านใหญ่ที่มีสต็อกการ์ตูนเยอะๆ บ้าง แล้วก็ส่องหาการ์ตูนมือสองจากเว็บไซต์หรือเพจต่างๆ บนเฟซบุ๊ค

แล้วก็มีเหตุให้สั่งซื้อการ์ตูนจากร้านค้าออนไลน์สองแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงอดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบ เรื่องต่อไปนี้คือประสบการณ์ตรง บางอย่างที่เรารู้สึกว่าไม่ดี คนอื่นอาจจะเฉยๆ ก็ได้ เรียกว่าอ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณกันเองแล้วกัน

มาว่ากันที่ nstore ก่อน เพราะโปรโมชั่นดูดี แล้ว Death Note ก็เป็นการ์ตูนที่สนใจอยากอ่านมานานแล้ว เลยตัดสินใจลองสั่งหนังสือจากเว็บไซต์ในเครือเนชั่นฯ (nstore) พอสั่งหนังสือเรียบร้อย ก็เลือกวิธีจ่ายแบบบัตรเครดิต แต่ขั้นตอนการ varify บัตรยุ่งยากน่ารำคาญและน่าสับสนมากในความรู้สึก ครั้นพอจะเปลี่ยนใหม่เป็นโอนเงินผ่านธนาคาร ก็หาคำสั่งที่จะแคนเซิลไม่เจอ เพราะหน้าเว็บต่อตรงเข้าไปที่ paysbuy เสียแล้วในขั้นตอนการ varify บัตร กลายเป็นว่าเราต้องเข้าเว็บ nstore ใหม่อีกรอบ 

เอ้า ไม่เป็นไร ถือว่าเรางี่เง่าเอง พอเข้าไปใหม่ มองดูในตะกร้าสินค้า ก็เห็นมีแค่ 1 รายการ ก็เลยกดทำรายการต่อจนเรียบร้อย ได้ใบออร์เดอร์และเบอร์บัญชีธนาคารที่ต้องโอนเงินมาเสร็จสรรพ ก็นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว จบขั้นตอนแล้ว

ปรากฏว่าลองกลับเข้าไปเช็คที่หน้าของสถานะการสั่งซื้อ พบว่ามีรายการสั่งซื้อถึงสามรอบซ้ำกัน ทุกรายการอยู่ในสถานะรอจ่าย (pending) แถมไม่มีออพชั่นให้แคนเซิลด้วย ทำให้เราอดกังวลไม่ได้ว่า รายการที่สั่งตอนแรก (ไม่รู้ว่างอกมาจากไหนจนกลายเป็นสองรอบ) ซึ่งเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่เปลี่ยนใจนั้น จะตัดเงินในบัตรไปหรือยัง เพราะการทำเรื่องขอเงินคืน ในกรณีที่ไม่มีการซื้อ แต่ลงบัญชีไปแล้วนั้น น่าจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย จึงเขียนอีเมลไปแจ้งปัญหาถึงผู้ดูแลตามที่อยู่ที่ลงไว้ในหน้าเว็บ 

ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการตอบกลับในทันทีหรอก เพราะว่าวันที่ทำรายการคือวันหยุด วันเสาร์-อาทิตย์ พนักงานที่ไหนจะมาทำงาน กว่าจะได้เรื่องก็คงวันจันทร์บ่ายๆ เป็นอย่างเร็ว ถึงอย่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าทำเว็บไซต์ขายของแล้วไม่ว่างจะรับออร์เดอร์วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ควรจะบอกให้ชัดเจนไปเลยว่าวันทำการคือวันไหน จากกี่โมงถึงกี่โมง ออร์เดอร์นอกเวลาทำการจะดีเลย์ประมาณเท่าไหร่ 

ส่วนของ Information, FAQ ในเว็บไซต์ก็ไม่ละเอียดเท่าที่ควร เน้นแต่ข้อมูลเกี่ยวกับ e-book เหมือนไม่สนใจลูกค้าที่ต้องการหนังสือแบบมีตัวตนจับต้องได้ ภาษาที่ใช้ก็ประหลาดพิกล (แน่ใจหรือว่านี่หน่วยงานในองค์กรทำงานสื่อฯ โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์?) บางทีเหมือนเขียนแล้วรู้เรื่องกันอยู่เฉพาะในองค์กร อย่างน้อยคุณก็ควรอธิบายว่าไอ้สินค้าแบบ physical ของคุณน่ะ มันคือหนังสือเป็นเล่มๆ หรือใช้ภาษาไทยดีไหม คนไทยไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษทุกคนนะ ยิ่งเว็บคุณขายการ์ตูนด้วยแล้ว คุณคิดว่าลูกค้ารุ่นเยาว์ของคุณจะเข้าใจกี่มากน้อยกันล่ะ 

หรือควรบอกว่าการจัดส่งของคุณน่ะ ใช้พนักงานบริษัท ไม่ใช่ไปรษณีย์ไทย ลูกค้าจะได้เขียนอธิบายทิศทางของสถานที่รับของเสียหน่อย นี่ถ้าเราไม่เคยบอกรับหนังสือการ์ตูนดิสนี่ย์ของที่นี่ให้น้องมาเป็นปีๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าการจัดส่งของที่นี่เป็นประมาณไหน  (ว่าแต่ไอ้ใบสั่งซื้อที่แจ้งไว้ในเว็บว่าจะส่งไปที่อีเมลของเราน่ะ ยังไม่ได้เลยสักใบนะ จนกระทั่งได้หนังสือแล้วก็ไม่มี มีแต่ใบสั่งซื้อแบบ "physical" ที่พนักงานของคุณปรินท์แล้วแนบกับหนังสือมาให้น่ะ)

โปรโมชั่นส่วนลดก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่น่าโมโห หนังสือเพิ่งวางแผง ก็เอามาลดแบบยกชุดเสียแล้ว คนที่ตามซื้อทีละเล่มบนแผงอย่างเราเห็นแล้วอดเคืองไม่ได้ แปลว่าอีกหน่อยเราไม่ควรซื้อหนังสือในร้านหรือบนแผงแล้วใช่ไหม เพราะถ้าสั่งทางเว็บ จะได้ส่วนลดมากกว่า (แต่ก็จะโดนบวกกลับภายหลังด้วยค่าส่งแพงๆ) หรือรอไปซื้อทีเดียวในงานสัปดาห์หนังสือดีกว่า (ในเว็บมีการใช้คำว่า "โปรฯ เดียวกับงานสัปดาห์หนังสือ" เห็นแล้วคิดถึงป้าย "เงื่อนไขเดียวกับงานมอเตอร์โชว์" ที่ติดอยู่ตามโชว์รูมรถเป็นยิ่งนัก) แล้วบริษัทคุณก็รอรับเงินแค่ปีละสองหนพอ จะเอาแบบนั้นก็ได้เหมือนกันนะ คนอื่นเป็นยังไง เราไม่รู้หรอก เรารู้แต่ว่าตัวเองเป็นลูกค้าที่ไม่ขวนขวาย ถ้ามีให้ซื้อก็ซื้อ ไม่มีให้ซื้อก็ไม่ซื้อ อย่าลืมว่าสินค้าของคุณไม่ใช่สิ่งจำเป็นของชีวิตแบบปัจจัยสี่ อะไรที่ซื้อยากเย็นนัก ชาวบ้านเขาก็ไม่เอา ง่ายๆ แบบนั้นแหละ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายนะ เพราะเราชอบการ์ตูนของค่ายนี้หลายเรื่อง และรู้สึกว่าที่นี่ให้ความสำคัญในการผลิต ทั้งเรื่องรูปเล่ม กระดาษที่พิมพ์และคุณภาพการแปล เรียกว่าเป็นสินค้าที่น่าซื้ออยู่แล้ว 

อ้อ! ยังไงก็ต้องชมพนักงานที่ติดต่อกับเรานะ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเอาใจใส่ลูกค้าตามสมควร และการตอบกลับลูกค้าถือว่ารวดเร็วใช้ได้ นั่นอาจจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของร้านออนไลน์ร้านนี้ ถ้าให้เราสรุปจากประสบการณ์ครั้งแรกครั้งนี้ เราคงบอกว่า เว็บไซต์ไม่เลว ระบบสั่งซื้อห่วย โปรโมชั่นน่าโมโห แต่พนักงานโอเค 

แต่ก็นั่นแหละนะ คิดว่าบ่นไปก็เท่านั้น เจ้าของร้านอาจจะไม่สนใจลูกค้ากระจอกๆ แบบเราสักเท่าไหร่หรอก

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Trilogy มหากาพย์แห่งความงุนงงแบบไทยๆ

เชื่อมั่นว่า Trilogy เป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่มีคนงุงงงสงสัยเรื่องการออกเสียงมากที่สุดในประเทศไทย ฮาาา ศัพท์คำนี้ได้เป็นประเด็นในการถกเถียง/พูดคุยในหมู่ผองเพื่อนของเรามาหลายรอบแล้ว (ขอมอบโล่เกียรติยศ)

มาดูความหมายแบบพอสังเขปก่อนเนอะ เท่าที่ค้นๆ มา พอสรุปได้ว่า
Trilogy (คำนาม) หมายถึงละคร, นวนิยาย, ภาพยนตร์, โอเปร่า, อัลบั้มหรือการแสดงที่มีสามตอน โดยแต่ละตอนก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน ในยุคของกรีกโบราณ หมายถึงการแสดงโศกนาฏกรรมแบบสามองก์ที่แสดงต่อเนื่องกัน ปัจจุบันนี้ใช้กับอะไรก็ได้ที่แบ่งออกเป็นสามช่วง สามตอน สามภาค และมีความเกี่ยวข้องกัน

ทีนี้มาดูเสียงอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่เถียงกันไปมาได้สนุกดี อิอิ
http://www.macmillandictionary.com/pronunciation/british/trilogy

อันนี้มีทั้งสำเนียงแบบอังกฤษและอเมริกัน
http://www.forvo.com/word/trilogy/

อะ แถมแบบวิดีโอคลิปให้ด้วย
จะเห็นว่าทุกคลิปอ่านว่า "ทริ-โล-จี" หรือ "ทริ-ล่ะ-จี" โดยพยางค์แรก (tri) จะออกเสียงสั้นๆ

เท่าที่สังเกตมา สำหรับฝรั่ง จะออกเสียงต่างกันตรงพยางค์ที่ 2 (lo) ว่าจะเป็น โล หรือ ลา/ล่ะ แต่สำหรับคนไทย เถียงกันไม่รู้จบที่พยางค์แรกค่ะ ว่าจะอ่านว่า "ไทร/ทรัย" หรือ "ทริ" และมีคนไทยจำนวนมากอ่านคำนี้ว่า ไทร-โล-จี้ อยางมั่นอกมั่นใจค่ะ (คิดว่าคงติดมาจากคำว่า ไตรภาค)

แต่เราค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าคำนี้ควรอ่านว่า ทริ-โล-จี ถึงจะมีคนแย้งเราว่าอ่านว่า ไทร-โล-จี้ ก็ได้...เอ้า ได้ก็ได้ คือถ้าถามเราว่ามันใช่การออกเสียงที่ถูกต้องไหม ไอ่ ไทร-โล-จี้ เนี่ย เราคิดว่ามันไม่ถูกนะ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีสำเนียงท้องถิ่นที่ไหน อ่านว่า ไทร-โล-จี้ หรือเปล่า เราเองก็ไม่ใช่นักภาษาศาสตร์เสียด้วยซี อือม์ เอาอย่างนี้ดีกว่า เรียกว่าไม่ใช่เสียงอ่านแบบมาตรฐานดีกว่าเนอะ

เราเคยถามรุ่นน้องคนหนึ่งที่ไปร่ำเรียนอยู่ในอเมริกาหลายปี ทำงานขีดเขียนๆ เกี่ยวเนื่องกับภาษา เธอบอกว่าก็เคยได้ยินแต่ ทริ-โล-จี นะคะ พี่ แต่-เธอมีคำว่าแต่...สำหรับคนอเมริกัน อ่านแบบไหนก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ตึ่งโป๊ะ!

ที่จริงเราเคยเจอลิงค์ pronunciation ที่อ่านคำนี้ว่า ไทร-โล-จี ด้วยนะ เคยลองเสิร์ชหาเล่นๆ น่ะ แต่ตอนหลังหาไม่เจอแล้ว ไม่รู้หายไปไหน หรือว่าจะโดนลบทิ้งไปแล้วมั้ง คือถ้าโดนลบก็อยากรู้ว่าลบด้วยสาเหตุอะไร มันเป็นเสียงอ่านที่ผิดหรือยังไงกัน

หลังจากถามรุ่นน้องผู้ชำนาญภาษาแล้ว เรายังแจ้นไปถามญาติสาวชาวอเมริกันที่มีเป็นครูบาอาจารย์อยู่ที่บ้านเขา (แบบว่าเพิ่งนึกออกว่ากรูมีญาติเป็นฝรั่ง) นางบอกว่า เฮ่ย ตั้งแต่เกิดมาจนเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ชั้นยังไม่เคยได้ยินคนอเมริกันที่ไหน อ่านคำว่านี้ว่า ไทรโลจี้ เล้ย

เราเลยสรุปกับตัวเองว่า โอเค คำนี้อ่านว่า ทริ-โล-จี น่ะ มรึงจำไว้ แต่ถ้าไปได้ยินใครอ่านว่า ไทร-โล-จี้ ก็ขอให้รู้ว่ามันคือคำเดียวกันนั่นแหละ แต่มันไม่ใช่สำเนียงมาตรฐาน คิดว่าเราควรจะรู้ก่อนว่าสำเนียงที่ถูกต้องคืออะไร แล้วค่อยไปทำความเข้าใจว่า อ้อ มันก็มีการอ่านแบบอื่นด้วยนะ

เอาเป็นว่าพึงอ่าน Trilogy ว่า ทริ-โล-จี ชัวร์กว่า จำไว้ ไม่ขายหน้า คอนเฟิร์ม.

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เมื่อ Thirty Seconds to Mars มาเล่นให้เราดูสดๆ ที่เมืองไทย

เราคิดว่า Thirty Seconds to Mars ไม่ใช่วงที่ดังมากมายอะไรนักที่เมืองไทยนี่ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีแฟนเพลงอยู่พอสมควร

ดังนั้น เมื่อได้ข่าวว่าวงโปรดจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย อย่างแรกที่รู้สึกเลยคือแปลกใจ อย่างที่สองคือดีใจ และแน่นอนว่าเราต้องไปจัดบัตรคอนเสิร์ตมาแต่ไก่โห่ ตั้งกะบัตรแข็งยังไม่ออกแน่ะ โดยที่แอบลุ้นไปด้วยว่าคอนเสิร์ตจะล่มหรือไม่ล่ม เพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองบ้านเราตอนนี้ยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้นัก

แต่ว่าในที่สุด ก็มาถึงวันแสดงจริงๆ และไม่ได้มีข่าวว่างานจะล่ม เพียงแต่แอบได้ยินว่ายอดขายบัตรไม่ค่อยสวยนัก นี่ขนาดพี่จาเร็ด เลโท นักร้องนำของวงเพิ่งคว้ารางวัลออสการ์มาหมาดๆ คนก็ยังไม่ค่อยจะหืออืออะไรสักเท่าไหร่ แต่คิดอีกที ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้กันไปเลยว่าฐานแแฟนเพลงของวงนี้ในประเทศนี้จะมีอยู่สักเท่าไหร่กันแน่

หลักฐานการไปชมคอนเสิร์ต 30 STM
เราไปเจอกับน้องอีกคนที่นัดไว้ว่าจะไปดูด้วยกัน ไบเทค บางนา วันนั้นไม่ค่อยร้อน ผิดวิสัยเดือนเมษาฯ แถมยังมีฝนตกระหว่างทางอีกต่างหาก แหงล่ะว่าเราไปถึงแต่หัววัน แล้วก็เจองานประกวดเชียร์ลีดเดอร์หรือร้องเพลงอะไรสักอย่างที่จัดที่ไบเทคฯ ด้วย เสียงดังสนั่นลั่นอาคาร ก็เดินงงๆ กันไป หาอะไรใส่ท้องกันก่อน

ฟ้ายังไม่มืดเลย เราก็ตัดสินใจเข้าไปในบริเวณฮอลล์ EH106 ซึ่งเป็นที่แสดงคอนเสิร์ต อีตอนผ่านเข้าประตูก็ไม่มีอะไรมากนัก มีตรวจกระเป๋าและก็ให้ใส่ริสท์แบนด์ (แถบสีเหลืองในรูปอะ) ใช้เวลาไม่นานนัก (แต่หลังจากนั้น พอใกล้เวลาแสดง เพื่อนที่มาทีหลังบอกว่าคิวรอตรวจกระเป๋าและเข้าฮอลล์ยาวมากกกกกก) พอเข้าไปก็เจอบูธกิจกรรมต่างๆ มีที่น่าสนใจก็คือบูธเพ้นท์โลโก้สามเหลี่ยมของวงและสัญลักษณ์อื่นๆ แต่คิวยาวพอสมควร เราไม่ได้เพ้นท์กะเขาหรอก ขี้เกียจต่อคิว ก็เดินๆ นั่งๆ อยู่แถวนั้นกับเพื่อนใหม่ คือเจอกันสดๆ หน้างานนี่แหละ แล้วก็เนียนๆ เฮๆ กันไปราวกับรู้จักกันมานาน ทีนี้เดินไปเดินมา ก็ไปปะเอาโต๊ะขายซีดี ก็เลยสอยซีดีสองชุดแรกที่หาแผ่นได้โคตรยากกกกก ณ เวลานี้ แต่มีขายในงานนี้ในราคาถูกเหลือเชื่อคือแผ่นละ 220 บาท (แต่สองชุดหลังขายราคาปกติคือแผ่นละ 390 บาท) ก็จัดมาเรียบร้อย ที่จริงก็แอบอยากได้เสื้อทัวร์นะ และแพงเกินฐานเงินเดือนเรา T.T ตัวละตั้งพันกว่า ถึงอย่างนั้นก็ขายดีเวอร์วัง ยังไม่ถึงทุ่มนึง เสื้อก็หมดแล้วมั้ง เหลือแต่แบบอื่น

ปรากกว่าคอนเสิร์ตเลทมาก ตามกำหนดการคือเล่นสองทุ่ม แต่เอาเข้าจริงก็ปาเข้าไปสามทุ่มแน่ะ กว่าสามหน่อจะขึ้นเวทีกัน

ถ้าจะถามกันจริงๆ เราก็จำอะไรในคอนเสิร์ตไม่ได้มากนะ เล่นเพลงอะไรเป็นเพลงแรกยังจำไม่ได้เลย (กลับไปดูคลิปของเพื่อน ปรากฏว่าเป็นเพลง Birth จากอัลบั้มล่าสุด) มองก็ไม่ค่อยจะเห็นอะไรเท่าไหร่ เพราะเราเป็นพวกสูงน้อย ส่วนใหญ่ก็โดนบัง อาศัยดูจากมอนิเตอร์บ้าง ดูจากจอมือถือคนข้างหน้าบ้าง แต่ถ้าถามว่าสนุกไหม บอกได้เลยว่าสนุกมาก มันเป็นความรู้สึกเต็มอิ่มนะที่ได้ดูวงที่เราชอบมาเล่นสดๆ กันตรงหน้า แม้ว่าเพื่อนเราจะบ่นว่าระบบเสียงไม่ดีเท่าไหร่ แต่เราไม่ค่อยรู้สึก เพราะว่าโคตรแฮปปี้ ทุกอย่างเลยดูดีไปหมด (เป็นเอามาก ^^)

ช่วงแรกๆ สามหน่อใส่เพลงเป็นชุด แทบไม่ค่อยได้พูดอะไรเท่าไหร่ แล้วก็มีช่วงอะคูสติกที่เฮียจะเหร็ดแกพูดคุยกับแฟนๆ แล้วก็หยอดคำหวานถึงเมืองไทย เล่นเอาแฟนเพลงกรี๊ดกันสนั่นฮอลล์ เฮียเล่นเพลง Hurricane ซึ่งเป็นเพลงสุดโปรดของเราเลย


ส่วนเพลงนี้ Do Or Die พี่แกโบกธงไทยอย่างสนุกเลย ดูสกิลการควงธงของพี่เค้าแล้ว น่าจะผ่านการเป็นดรัมเมเยอร์มาก่อน เฮ้ย ไม่ใช่ มั่วแระ ^^



คลิปอื่นๆ ลองหาดุในยูทูบน่ะ มีเพียบเลย คลิปของบางคนถ่ายไว้ชัดมาก เสียงดีมาก สุดจะทึ่งกับกล้องมือถือยุคนี้จริงๆ 

ประมาณสี่ทุ่ม คอนเสิร์ตก็จบ มีอองกอร์รอบเดียว จบแล้วจบเลย เปิดไฟไล่คนเหมือนโรงหนังที่เพิ่งฉายรอบสุดท้ายจบ คนดูเหมือนจะงงๆ แต่ก็กลับบ้านกันแต่โดยดี ไม่มีงอแง เราก็คิดว่ามันสั้นไปหน่อย เหมือนมินิคอนเสิร์ตงานมีทติ้งกับแฟนคลับอะไรทำนองนั้น ไม่ได้เล่นเพลง From Yesterday กับ Attack ด้วย ซึ่งปกติจะเห็นเล่นในคอนเสิร์ตทุกครั้ง ก็ได้แต่หวังว่าเฮียจะติดใจเมืองไทย แล้วจะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่อีก

นอกจากวงแล้ว เรายังรู้สึกประทับใจคนดูนะ เห็นได้ชัดเลยว่าส่วนใหญ่เป็นติ่งตัวจริงอะ คือรอบตัวตรงที่เรายืนดูน่ะ ทุกคนร้องตามได้หมด ทุกเพลงเลยด้วย ซึ่งถ้าเคยฟังเพลงของวงนี้จริงๆ จะรู้เลยว่าร้องตามโคตรยาก แล้วยิ่งสำหรับคนไทยนะ แค่จำเนื้อร้องได้ก็เก่งมากๆ แล้ว

ที่สำคัญเราได้เพื่อนใหม่ที่น่ารักเพิ่มขึ้นด้วยล่ะ โดยที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเราชอบศิลปินวงเดียวกัน 

ดังนั้น สำหรับเราแล้ว คอนเสิร์ตครั้งนี้จึงเป็นความประทับใจและเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ^^

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

Bookends ไม่ใช่ "ที่คั่นหนังสือ"

อุตส่าห์ดีใจที่ได้นิตยสารแต่งบ้านเล่มใหม่มาอ่าน แต่ดันมีเรื่องทำให้อารมณ์เสีย

เรื่องของเรื่องก็คืออ่านๆ ไปแล้ว ดันไปเจอว่ามีการใช้คำว่า "ที่คั่นหนังสือ" บรรยายรูปของ "ที่กั้นหนังสือ"

อารมณ์เสียเพราะนี่เป็นนิตยสารจากบริษัทผลิตสื่อที่ได้ชื่อว่ามีมาตรฐานพอสมควร ไม่ใช่สำนักพิมพ์ไก่กาอาราเล่ที่ไหน งานเขียนที่ออกมาน่าจะมีการตรวจเช็คมากกว่านี้หน่อย -"-

เท่าที่เราเคยเรียนมา ไอ่คำว่า "ที่คั่นหนังสือ" นี่น่ะ มันเทียบกับภาษาอังกฤษได้ว่า Bookmark ส่วน Bookends น่ะ เราถูกสอนมาว่า มันคือ "ที่กั้นหนังสือ"

อะแหม เดี๋ยวจะว่า อิป้าเอ๊ย แกจำมาผิด เรียนมาผิดป่าววะ? งั้นไปเปิดดิคชันนารีดูสักหน่อย

พอกรอกคำว่า Bookends กดป้าบเข้าไปที่ดิคฯ ออนไลน์ ได้คำตอบว่า "ที่ตั้งหนังสือ (ทำให้หนังสือตรงเป็นแถว), ที่หนีบค้ำแถวหนังสือให้ตั้งตรง"

ส่วนคำว่า Bookmark นั้น ได้คำตอบว่า "ที่คั่นหนังสือ, ริบบิ้นหรือกระดาษคั่นหนังสือ, ที่คั่นหนังสือ คั่นหน้า"

เราว่าคนส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าที่คั่นหนังสือคืออะไร แต่มนุษย์ยุคกูเกิลหาได้ทุกสิ่ง อาจจะไม่เข้าใจคำว่า "ที่กั้นหนังสือ" เท่าไหร่ เพราะเราลองถามอากู๋กูเกิลดูแล้ว อีเสนอคำว่า "ที่คั่นหนังสือ" แทน "ที่กั้นหนังสือ" -- แสนรู้ชะมัด (-"-) ต้องย้ำไปว่าตรูจะหาคำว่า "ที่กั้นหนังสือ" ว้อย ถึงจะได้ชี้ผลลัพธ์มาให้

งั้นเดี๋ยวแปะคลิปให้ดูว่า "ที่กั้น/ตั้งหนังสือ" นั้นไซร้ มันคืออัลไล


อะ เห็นหรือยัง เข้าใจหรือยังฮะ เด็กๆ จำไว้นะฮะว่า

Bookends = ที่กั้นหนังสือ, ฉากกั้นหนังสือ, ที่ตั้งหนังสือ

Bookmark = ที่คั่นหนังสือ

โอเคนะ ถ้าเห็นใครใช้แบบงงๆ ติดจะมั่ว ช่วยเตือนกันด้วยนะ เธอว์.

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

Magi อ่านว่า เมไจ หรือ มากิ หว่า?

เปิดบล็อกด้วยเรื่องภาษาที่ไปแอบดูชาวบ้านเขาเถียงกันมาดีกว่า อิอิ เรื่องอื่นยังนึกไม่ออก ที่จริงว่าจะย้ายสมบัติจากบ้านเก่ามาบ้านใหม่ที่นี่ แต่ผีขี้เกียจยังเข้าสิงอยู่ ก็เลยยังไม่ทำ :P

เรื่องที่ชาวบ้านเขาเถียงกันที่ว่าก็คือชื่อเรื่องมังงะ Magi : The Labyrinth of Magic (เรื่องนี้เราไม่ได้อ่านหรอก แต่พอเห็นชาวบ้านเขาเถียงกัน ก็คิดว่าเดี๋ยวจะลองไปส่องดูบ้าง) ไอ่คำเจ้าปัญหานั่นก็คือ Magi แล้วที่ถกเถียงกันก็คือ มันอ่านว่ายังไง ระหว่าง "เมไจ" กับ "มากิ" เพราะว่าคำนี้ในภาษาอังกฤษอ่านว่า "เมไจ" แต่ในชื่อเรื่องภาษาญี่ปุ่น ดันเขียนไว้ว่า "มากิ" (マギ) เอาล่ะซี...

เราเลยกลับไปเปิดดิคฯ ดูซะหน่อย ในนั้นอธิบายไว้แบบนี้

magi : รูปพหูพจน์ของ magus จบ-ตึ่งโป๊ะ!

เอ้า ต้องไปส่องดูกันต่อที่ magus ซึ่งก็มีคำแปลไว้ว่าคือ "ผู้ใช้เวทมนต์ (Sorcerer)" กับ "สมาชิกของชนชั้นนักบวชในยุคเปอร์เซียโบราณ" แถมยังโบ้ยให้ไปดูคำว่า Magi (ขึ้นต้นด้วยตัวนำ) อีกต่างหาก

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราก็เลยวิ่งปุเลงๆ ไปดูตามที่ท่านดิคฯ ว่า ก็ไปเจอว่า Magi นั้นไซร้ คือ "ปราชญ์บูรพาทั้งสาม" (The Three Wise Men บางทีก็เขียนว่าเป็น Three Kings) ที่เป็นผู้นำของขวัญมาถวายพระกุมารเยซู เรื่องนี้ ถ้าเป็นชาวคริสต์คงจะพอนึกออก ขอสรุปย่อๆ แค่นี้ ใครอยากรู้ละเอียดไปถามอากู๋ Google เอาเอง ใช้คีย์เวิร์ดว่า ปราชญ์บูรพา, กำเนิดพระเยซู ประมาณนี้แหละ เดี๋ยวก็เจอเอง 


เอ๊ะ เขียนงี้แปลว่า ถ้าอ่านว่า "มากิ" ก็ผิดอะดิ 

มันก็พูดยากนะครัช แหม่

คือถ้าไม่มีตัวคะตะกะนะแปะไว้ตัวเบ้อเริ่มบนปกมังงะว่า マギ ก็คงจะอ่านว่า เมไจ ไปแบบไม่มีปัญหา...ชีวิตนี้ยากจัง ORZ (แต่ในมังงะแปลไทยของเรื่องนี้เขาก็เลือกใช้คำอ่านว่า "เมไจ" นะ)

เอาเป็นว่าเรารู้ไว้เป็นพื้นฐานแล้วกัน ว่าคำนี้ในภาษาอังกฤษ เขาอ่านกันแบบนี้ (เมไจ) เวลาไปพูดกะฝรั่งมังค่า ก็จะได้ออกเสียงถูก หรือถ้าฝรั่งพูดมาว่า เมไจ เราก็อย่าไปเผลอชี้หน้าเขาว่า "เอ็งอ่านผิดว้อย" ละกันเนอะ
……

สำหรับโพสท์แนวๆ นี้ เราจะแปะป้ายไว้ว่าเป็นเรื่องในหัวข้อ "สมุดจดศัพท์" ...ก็ตามนั้นแหละ คือบางทีทำงานมั่ง อ่านหนังสือ เจอศัพท์อะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็อยากจดไว้แบบออนไลน์ เพราะจดใส่สมุดทีไร ลืมทุกทีว่าจดไว้ไหน กรำ T.T

ทีนี้ ไหนๆ ก็จดแล้ว จะเก็บไว้ดูคนเดียวก็เสียดาย แบ่งให้ชาวบ้านดูหน่อยดีกว่า เผื่อใครจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง (มั้ง) หรือใครมีอะไรอยากเล่าเพิ่มเติม ก็มาเล่าสู่กันฟังนะ ช่วยกันเพิ่มรอยหยักในสมองกัน เพราะตอนนี้คลำๆ ดูมันไม่ค่อยมี (-_-")

วันนี้พอแค่นี้ก่อนเนอะ.