วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

คิดจะขายของออนไลน์ อย่าประมาทเรื่องภาษี

เชื่อว่ามีหลายคนที่ชอบทำงานฝีมือใฝ่ฝันอยากมีร้านขายงานฝีมือเป็นของตัวเอง ซึ่งสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะการลงทุนเปิดร้านขึ้นมาสักร้าน ต้องใช้เงินไม่น้อย แต่ปัจจุบันทำได้ง่ายกว่านั้นเยอะ โดยการย้ายหน้าร้านไปไว้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งลงทุนน้อยกว่ามาก แม้จะมีความเสี่ยงว่าลูกค้าอาจจะมีน้อยกว่าการเปิดร้านจริงๆ ยิ่งอยู่ในยุคของเฟซบุ๊คและอินสตาแกรมด้วยแล้ว การขายของออนไลน์ยิ่งทำได้ง่ายมากๆ

แต่ระยะหลังนี้ได้เห็นคนรู้จักที่ขายของออนไลน์เริ่มมีปัญหาเรื่องภาษี คือไม่ได้เข้าระบบการเสียภาษีอย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง เมื่อสรรพากรตามเจอ ก็ย่อมต้องโดนตรวจสอบเป็นธรรมดา โดยเฉพาะร้านที่ขายดี มีแฟนเพจหรือมีคนติดตามเยอะ ก็จะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ

เท่าที่คนเขียนพอจะรู้มาบ้าง เพราะว่าอยู่ระหว่างชั่งใจว่าจะเปิดร้านออนไลน์กับเขาดีหรือไม่ ก็คือว่า ไม่ว่าคุณจะตั้งบริษัทหรือไม่--ภาษาทางกฎหมายคือไม่ว่าคุณจะเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา เมื่อมีรายได้เกิดขึ้น ต้องแจ้งสรรพากรค่ะ เพื่อเสียภาษีตามกฎหมาย ต่อให้รายได้ไม่ถึงขั้นที่ต้องเสียภาษี เราก็ต้องแจ้งค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนข้อหาหลบเลี่ยงภาษีได้ แล้วการโดนเรียกตรวจสอบย้อนหลังเป็นเรื่องยุ่งยากมากๆ ดี-ไม่ดี อาจจะต้องจ่ายค่าปรับด้วย เพราะฉะนั้นทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกดีกว่าค่ะ

ถ้าสมมติว่าคุณขายของเป็นงานอดิเรก ปริมาณสินค้าไม่มาก รายรับตรงนี้ไม่เยอะ ก็ไม่ต้องกลัวค่ะว่าเราจะโดนขูดรีดภาษี เพราะอัตราการเสียภาษีบ้านเรานี่...ถ้าเทียบกับเมืองนอก ขอบอกว่าไม่ได้โหดร้ายอะไรเลยค่ะ เท่าที่ทราบตอนนี้ รายได้ระดับที่ต้องเสียภาษีและต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 1.8 ล้านบาทต่อปีค่ะ นั่นคือถ้าคุณขายของได้ไม่ถึง 150,000 บาทต่อเดือน คุณก็ไม่ต้องเสียภาษี (แต่ต้องแจ้งรายได้นะคะ) โดยในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดา คือไม่ได้ตั้งเป็นบริษัทหรืออะไร เราก็ยื่นภาษีโดยใช้แบบ ภงด. 90 ได้ค่ะ โดยรายได้ตรงนี้จะอยู่ในมาตรา 40 (8) นะคะ ถ้าจำไม่ผิด สำหรับคนที่มีรายได้จากการขายของมากหน่อย ไม่อยากเสียภาษีรวดเดียวเยอะๆ ก็ไปยื่น ภงด. 94 ได้ทุกครึ่งปีตามกำหนดของกรมสรรพากรค่ะ คล้ายๆ เป็นการแบ่งจ่ายค่ะ

มีข้อควรระวังอย่างหนึ่งที่เตือนๆ กันมาค่ะ สำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนด้วยหรือมีรายได้ทางอื่นด้วย นอกเหนือจากการขายของออนไลน์ คือให้แยกบัญชีที่รับเงินเดือนออกจากบัญชีที่ใช้รับโอนเงินลูกค้าของเรา คือใช้คนละบัญชีกันค่ะ เพราะเวลาตรวจสอบรายได้ตรงนี้ สรรพากรจะถือว่าเงินที่เข้าบัญชีทั้งหมดของเรา (ตามที่แจ้งไว้บนเว็บไซต์) คือรายได้จากการขายค่ะ เว้นแต่เราจะมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ใช่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตัดปัญหาและความยุ่งยากโดยการแยกบัญชีไปเลยดีกว่า

สำหรับคนที่มีเว็บไซต์ แนะนำให้ไปจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ที่กระทรวงพาณิชย์ด้วยเลยค่ะ จะยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเราว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีที่มาที่ไป ไม่ใช่แก๊งต้มตุ๋น ลูกค้าจะยิ่งวางใจใช้บริการค่ะ ส่วนคนที่เปิดขายเฉพาะบนเฟซบุ๊คหรืออินสตาแกรม ตรงนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะมีการรับจดทะเบียนหรือไม่นะคะ (แต่ที่แน่ๆ คือสรรพากรเริ่มตามรอยผู้ค้าบนสองเครือข่ายใหญ่นี่แล้วนะคะ ใครยังไม่เคยยื่นภาษีก็รีบไปยื่นเสียเลยค่ะ) เอาไว้ถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติม จะมาเขียนบอกกันอีกทีค่ะ

ข้างล่างนี้มีลิงค์ที่อธิบายเกี่ยวกับภาษีและการขายของออนไลน์ได้ละเอียดพอสมควร ลองอ่านกันดูนะคะ
http://www.ksmecare.com/Article/65/27814/การค้าออนไลน์กับการเสียภาษีอย่างถูกต้อง

อันนี้แถมค่ะ เป็นกระทู้ในพันทิพ แบบสั้นๆ ค่ะ แต่น่าจะให้ภาพรวมได้ดีพอสมควร
http://pantip.com/topic/31068641

สุดท้ายคงต้องบอกว่า การเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของประชาชนค่ะ ไม่ว่าเราจะโอดครวญหรือรู้สึกว่าแฟร์หรือไม่แฟร์ยังไง ก็ต้องยอมรับความจริงตรงนี้ค่ะ ^^

กล่องยาแปลงโฉม

บังเอิญเป็นคนชอบแหวน ชอบซื้อและชอบสวม จนบัดนี้ทำแหวนพังไปไม่รู้กี่วงแล้ว แต่ก็ยังไม่เข็ด ยังคงหาแหวนวงใหม่มาสวมติดนิ้วอยู่ได้เรื่อยๆ ปัญหาที่ตามมาก็คือไม่มีที่จะเก็บแหวน กล่องเครื่องประดับหรือ Jewelry Box ส่วนใหญ่ก็ช่างมีขนาดจุ๋มจิ๋ม ไม่พอเพียงต่อการเก็บงำคอลเล็คชั่นแหวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ - -" นอกเหนือไปจากราคาแพงโฮก อันตรายต่อกระเป๋าเงินของเราอย่างยิ่ง

แต่แล้วพระเจ้าคงเห็นใจ เมื่อวันก่อนแวะไปรับของที่ร้านขายอุปกรณ์สแครปบุ๊คเจ้าประจำที่เซ็นทรัลพระรามเก้า ลองแวะไปเดินเล่นในร้าน Komonoya (เป็นร้านขายทุกสิ่งอย่างในราคา 60 บาท คล้ายๆ ร้าน Daiso) ที่อยู่ชั้นเดียวกัน แล้วสายตาก็ไปพบกับเจ้ากล่องใส่ยาหน้าตาบ้านๆ แต่มีช่องใส่ยาเยอะมาก สำหรับคนขี้ลืม จะได้จัดยาเป็นชุดๆ ไว้กินทุกวันตามเวลาที่เขียนไว้ตามช่องบนกล่อง หน้าตาแบบนี้ล่ะจ้า
จึงตัดสินใจจ่ายไป 60 บาท รับกล่องยากลับบ้าน แล้วนำมาแปลงโฉม ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย เพราะกะว่าจะอาศัยเจ้า Masking Tape หรือบางทีก็เรียกกันว่า MT Tape, Washi Tape เทปกาวพิมพ์ลายแสนสวยที่กำลังฮิตในหมู่สาวๆ มาเป็นผู้ช่วย


เริ่มแรกก็ต้องขูดตัวหนังสือบนกล่องที่เห็นอยู่ตรงขอบด้านซ้ายกับด้านล่างออกไปก่อน ที่ต้องขูดออกก็เพราะว่าวาชิเทปที่เราจะใช้คราวนี้ (ลายจุดหลากสี) มีพื้นสีอ่อนและเนื้อเทปค่อนข้างโปร่งแสง ถ้าติดทับลงไปเลยก็จะมองทะลุไปเห็นตัวหนังสือบนกล่องได้ลางๆ

สำหรับการขูดตัวหนังสือออกก็ทำไม่ยากหรอกค่ะ ใช้สันคัตเตอร์หรือสันไม้บรรทัด (ของเราใช้สันฟุตเหล็ก) ขูดตัวหนังสือออกไป ไม่อยากให้ใช้ด้านคมนะคะ เพราะเดี๋ยวจะขูดขีดผิวกล่องจนเป็นรอยมากเกินไป เสร็จแล้วเช็ดผงสีที่ถูกขูดออกให้สะอาด อาจจะยังเห็นรอยหมึกจางๆ บนผิวกล่อง แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอเราติดเทปลงไปก็จะมองไม่เห็นแล้ว

ถัดจากนั้นเราก็เลือกวาชิเทปลายที่เราชอบ ติดลงไปตรงขอบซ้าย-ขวาและด้านล่าง ตัดและเก็บมุมเทปให้เรียบร้อย แค่นี้ก็ได้กล่องใส่แหวนน่ารักๆ ไว้ใช้ แถมยังใส่ได้ตั้ง 28 วงแน่ะ ^^



ให้ดูอีกมุมหนึ่งแบบชัดๆ หน่อย ^^



การตกแต่งของใช้ง่ายๆ ด้วยวาชิเทปก็จบลงด้วยประการฉะนี้ :)

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

แปลเพลง Bedroom Warfare (ตั้งชื่อเรื่องมันแบบดื้อๆ งี้แหละ)

ซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้มใหม่ของวงลูกรัก--One OK Rock พอดีว่าเป็นเนื้อภาษาอังกฤษล้วน เลยอยากลองทำดู จากเดิมที่ง่อยรับประทานเมื่อเจอเนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่นซึ่งเรามีภูมิความรู้เท่าหางอึ่ง อ่านคันจิได้ไม่ถึง 20 ตัว T.T เอ้า แปะเพลงก่อน นี่ Official MV เนอะ 



ตามด้วยเนื้อเพลง

Bedroom Warfare

Keep your enemies close                                     จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว
Your enemies close                                              เก็บไว้ให้ใกล้ตัว

I cut you off but you're still here                            ฉันตัดขาดจากเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยู่ตรงนี้
You're like a whisper in my ear                             เธอเหมือนเสียงกระซิบข้างหูฉัน
You start soft but you're getting louder                 เริ่มแรกเป็นเพียงเสียงแผ่วเบา และแล้วจึงดังขึ้น
Every hour I feel the power                                  ทุกชั่วโมงที่ผันผ่าน ฉันรู้สึกได้ถึงพลัง
We go hard till the morning light                           เราฟาดฟันกันจนถึงรุ่งสาง
We battle nightly                                                   เราก่อสงครามกันทุกค่ำคืน
(Keep your enemies close…)                               (จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว...)

Bedroom warfare in the middle of the night          มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก
Out of nowhere you come back into my life          เธอหวนกลับสู่ชีวิตฉันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
And I know in the morning we'll be                       และฉันรู้ดีว่าเมื่อถึงตอนเช้า
Nothing more than each other's enemy                เราจะเป็นได้ก็เพียงศัตรูของกันและกัน
Bedroom warfare in the middle of the night          มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก

Keep your enemies close                                      จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว
Your enemies close                                               เก็บไว้ให้ใกล้ตัว

It's like I've never had a chance                            ราวกับว่าฉันไม่เคยมีโอกาส (ไม่มีทางสู้)
We're doing a dangerous dance                           เราต่างร่ายรำท่วงท่าที่ร้ายกาจ
It's not a fair fight when you're already naked       ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรมเลย เมื่อร่างเธอเปลือยเปล่า
Your body language is so persuasive                    ภาษาเรือนกายของเธอช่างเชิญชวน
We go hard 'till the morning light                           เราฟาดฟันกันจนถึงรุ่งสาง
We battle nightly                                                    เราก่อสงครามกันทุกค่ำคืน
(Keep your enemies close…)                                (จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว...)

Bedroom warfare in the middle of the night          มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก
Out of nowhere you come back into my life          เธอหวนกลับสู่ชีวิตฉันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
And I know in the morning we'll be                        และฉันรู้ดีว่าเมื่อถึงตอนเช้า
Nothing more than each other's enemy                เราจะเป็นได้ก็เพียงศัตรูของกันและกัน
Bedroom warfare in the middle of the night          มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก

Keep your enemies close                                     จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว
Your enemies close                                               เก็บไว้ให้ใกล้ตัว

I cut you off but you're still here                             ฉันตัดขาดจากเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยู่ตรงนี้

Bedroom warfare in the middle of the night           มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก
Out of nowhere you come back into my life           เธอหวนกลับสู่ชีวิตฉันแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
And I know in the morning we'll be                         และฉันรู้ดีว่าเมื่อถึงตอนเช้า
Nothing more than each other's enemy                 เราจะเป็นได้ก็เพียงศัตรูของกันและกัน
Bedroom warfare in the middle of the night           มันคือสงครามในห้องนอนตอนกลางดึก


เฮ้อ เหนื่อยเว้ย แปลเพลงนี่สิ้นเปลืองพลังงานอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอีตอนที่พยายามจะแปลออกมาไม่ให้มันดูตลก (แต่มันก็ยังตลกอยู่ดีป่าววะ? -"-) ดังนั้น บางท่อนจะไม่ได้แปลตรงเป๊ะๆ แบบว่ามีเสริม มีตัด มีแปลเลี่ยง ๆ กันบ้าง อะไรแบบนี้
เช่น  
  • We go hard till the morning light  --> go hard นี่คือปะมาณว่าไม่มีการออมมือให้ จะบอกว่าเล่นไม้แข็งก็ได้
  •  Out of nowhere you come back into my life --> บางคนจะงงนะ แต่ถ้าใส่เครื่องหมาย , ลงกลางประโยค อาจจะเข้าใจง่ายขึ้น --> Out of nowhere, you come back into my life. คือว่าจู่ๆ นางก็โผล่มา พรวดพราดมากันแบบดื้อๆ 
  • And I know in the morning we'll be / Nothing more than each other's enemy   --> จริงๆ นี่คือประโยคเดียวกัน "And I know, in the morning, we'll be nothing more than each other's enemy." แต่เวลาพิมพ์เนื้อเพลง เขามักจะตัดให้ลงท่อนที่ร้อง ซึ่งก็จะทำให้เรางงได้ 
ที่จริงแล้วเพลงนี้ไม่ได้เข้าใจยากนะ เพลงอย่าง Lost Star หรือ A Thousand Years ยังจะเข้าใจยากกว่าเสียอีก โดยเฉพาะ Lost Star นี่ มหากาพย์มาก เห็นแปลผิดแปลพลาดกันเยอะ ซึ่งเท่าที่ดู คิดว่าเหตุผลอย่างหนึ่งก็มาจากการพิมพ์เนื้อเพลงแบบที่ว่านั่นแหละ มันทำให้มองรูปประโยคที่ต่อเนื่องกันไม่ออก แล้วก็แปลพลาดกันได้ง่ายๆ

พูดถึงเพลงหน่อยเนอะ เท่าที่ดู ๆ ก็เหมือนมีบางคนไม่ค่อยปลื้ม แบบว่ามันป็อปไป อะไรไป ไม่เหมือนวันโอขุ มันไม่ใช่ ฯลฯ ประมาณนี้ ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะรูปแบบและสไตล์ดนตรีที่เปลี่ยนไปเยอะมาก เมื่อเทียบกับงานเก่าๆ เพลงนี้อาจจะแปลกแตกต่างที่สุดล่ะมั้ง แต่เราชอบอะไรที่มันอึนๆ หลอนๆ (ในแง่ของเนื้อเพลง) คือในมุมของเรา ฝ่ายหญิง (ต้องเป็นหญิงสิ ทากะเป็นคนร้อง) เหมือนผีหลอกวิญญาณหลอนมาก นางร้ายนะคะ ไล่ให้ไป ก็ไม่ไป ผู้ชายพยายามจะตัดใจ ชิ่งหนี แต่นางก็วนเวียนกลับมา เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดที่อีนุงตุงนังวนเวียนอยู่แบบนี้ หาที่จบปึ้งให้ลงตัวไม่ได้

ในอัลบั้มใหม่นี่ เจ้าตัวเล็ก-ทากะจะโดนแฟนเพลงบางคนถล่มมากเรื่องเนื้อเพลง แบบไรวะ เขียนแต่เพลงรักๆ ใคร่ๆ มันไม่ห้าว ไม่แมน ไม่มีสาระ ไม่ร็อค (เกี่ยว?) อ่านแล้วก็แอบมองบน แบบว่า โทษค่ะ คิดว่าเพลงอย่าง Wherever You Are, Decision, All Mine, Good Goodbye นี่คืออะไรวะคะ คุณ?

ด้าน MV ก็มีคนวิจารณ์ว่าดูแล้วไม่เก็ท มีแบบมาเต้นๆ มันจะใช่เหรอ อะไรงี้ โดยส่วนตัวคิดว่าคงแตกความคิดมาจากประโยคที่ว่า We're doing a dangerous dance ในเพลงน่ะ สำหรับเราแล้ว ไม่คิดว่ามันแปลกหรืออะไรนะ อาจจะเพราะชอบดูรายการ So You Think You Can Dance ดังนั้นก็จะชินกับไอ้การเต้นร่วมสมัยประกอบเพลงแบบนี้อยู่แล้ว

ลองแอบสืบประวัตินักเต้นสองคนใน MV แบบว่าหน้าคุ้นๆ ไม่รู้ว่าเคยมาแข่งในรายการโปรดของเรามั้ย ปรากฏว่าไม่ใช่แฮะ ฝ่ายหญิงชื่อ Charlotte Wilderianne นางเป็นนักเต้นดีเด่นนะ เป็นนักเรียนสายแดนซ์ระดับเกียรตินิยมของ LIPA (Liverpool Institute for Performing Arts) ตอนนี้เป็นนักเต้นอาชีพและนางแบบ ส่วนฝ่ายชายก็คล้ายๆ กัน ชื่อ Jake Moyle เป็นทั้งนักเต้นและนายแบบ แล้ว MV นี้ไปถ่ายกันที่อังกฤษ ก็คงเป็นเรื่องปกติที่จะใช้นักเต้นอังกฤษ

เอาล่ะ เวิ่นเว้อตามสมควรแล้ว พอดีกว่า ที่จริง เขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แพลงออกมาใหม่ๆ จนชาวบ้านเขาเอาไปแปลถึงไหนๆ แล้วตอนนี้ลูกๆ ก็ออกทัวร์ไปค่อนประเทศแล้วมั้ง เพิ่งจะมาทำให้จบ ^^' อีแม่มันขี้เกียจก็งี้แหละ แฮร่!

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รีวิวแป้งศรีจันทร์แบบย่อๆ

แป้งที่กำลังเป็นที่สนใจของสาวๆ ในขณะนี้ต้องยกให้แป้งศรีจันทร์ค่ะ จึงขอลองของกับเขาบ้าง ในภาพด้านซ้ายคือแป้งฝุ่นโปร่งแสง ส่วนด้านขวาเป็นแป้งพอกหน้าหรือมาส์คค่ะ เวลาซื้อต้องดูดีๆ นะคะ อาจหยิบผิดได้ จำไว้ว่า แป้งฝุ่นคือกล่องสีม่วงค่ะ

แพคเกจที่ปรับใหม่หมด ออกแนววินเทจเก๋ๆ โดยเฉพาะตัวที่เป็นแป้งฝุ่นนั้นมีล็อคกันแป้งหกอย่างดี แถมด้วยพัฟทาหน้าหนานุ่มสีม่วงสวย ทำให้สาวๆ พอใจมากค่ะ เพราะสามารถพกพาไปได้ไม่อายใคร

เท่าที่ลองใช้พบว่าแป้งฝุ่นนั้นดีเลิศ ควบคุมความมันได้นานกว่าแป้งยี่ห้ออื่นที่เคยใช้มา คือระยะเวลาที่หน้าเราจะเยิ้มมันหลังทาแป้งนั้น นานหลายชั่วโมงทีเดียวค่ะ นี่คือทาแล้วไปฝ่าแดดนอกบ้าน นั่งรอเพื่อทำธุระในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแอร์นะคะ แล้วเป็นวันที่ร้อนสุดๆ ปรากฏว่าแทบจะไม่ต้องเติมแป้งเลย แล้วหน้าก็ไม่ได้ดูมันย่องจนถึงขั้นเจียวไข่ได้ (ปกติเป็นคนหน้ามันสุดๆ ค่ะ) แค่ซับหน้านิดหน่อยก็โอเคแล้ว และข้อดีอีกประการก็คือราคาย่อมเยามาก ตลับเล็กแค่ 139 บาทเท่านั้น หาซื้อง่ายด้วย เพราะวางขายตามร้านสะดวกซื้อทุกแห่ง

ส่วนที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ก็คือ ตัวแป้งจะทายากนิดหน่อย คือต้องใช้วิธีกดลงบนหน้า ไม่ใช่ปาดๆ ทาๆ แบบที่เราชอบทำกัน (ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่วิธีทาแป้งที่ถูกสักเท่าไหร่) เพราะถ้าทำแบบนั้น ในกรณีที่เราลงรองพื้นด้วย รองพื้นก็จะติดพัฟไปด้วยค่ะ ให้ใช้พัฟแตะแป้งแล้วกดบนผิวเบาๆ นะคะ แล้วค่อยใช้แปรงเกลี่ยตรงที่เราทาหนาเกินไป อีกอย่างที่ต้องระวังก็คือ แป้งจะทำให้หน้าเราขาวขึ้น ดังนั้น ให้ทาแป้งเลยมาถึงคอด้วยค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นมีแต่หน้าขาวๆ ลอยมาแต่ไกล

แล้วด้วยความที่เป็นแป้งฝุ่นแบบโปร่งแสง ก็ทำให้ปกปิดริ้วรอยไม่ได้ดีนัก คือมันกลบไม่มิดค่ะ ถ้าหากว่าผิวคุณไม่มีปัญหา ไม่มีแผลหรือรอยดำ ก็สามารถใช้แต่แป้งเปล่าๆ ทาหน้าได้เลย แต่ถ้ามีจุดที่ต้องปกปิดเยอะ การใช้รองพื้นลงบนผิวก่อน จะช่วยได้มากเลยค่ะ 

ส่วนแป้งพอกหน้าหรือมาส์คก็ใช้ไม่ยากค่ะ คือผสมน้ำแล้วก็ทาทิ้งไว้ แต่ควรทดลองทาแขนทิ้งไว้ก่อนนะคะ เพราะว่ามีน้องบางคนบอกว่าใช้แล้วแพ้ค่ะ อาจจะไม่เหมาะกับคนผิวแห้งเท่าไหร่นัก เท่าที่ลองใช้ดูก็รู้สึกว่าทำให้หน้ามันน้อยลง แต่เนียนขึ้นไหม...อันนี้ยังตอบไม่ได้ค่ะ คงต้องใช้เวลา 

ข้อเสียของมาส์คก็คือทาแล้วหน้าจะขาวมาก เรียกว่าหน้าวอกน่ะค่ะ นึกถึงเวลาเราทาแป้งดินสอพองนะคะ ประมาณนั้นเลย ฉะนั้นถ้าสาวคนไหนมีเพื่อนร่วมห้องนอน คงต้องบอกกล่าวกันก่อนนะคะ ไม่อย่างนั้นมีตกใจแน่นอนค่ะ เวลาผสมน้ำก้ต้องค่อยๆ หยดน้ำลงไปบนแป้ง เคยให้สเปรย์พ่นน้ำ ปรากฏว่าแป้งฟุ้งกระจายค่ะ เลอะเทอะเปล่าๆ สุดท้ายก็คือล้างออกค่อนข้างยาก เพราะแป้งเกาะติดผิวดีมาก ถ้าใช้โฟมล้างหน้าธรรมดาล้าง จะรู้สึกว่าแป้งออกไม่ค่อยหมด อาจจะต้องใช้โลชั่น/ครีม/โฟมสำหรับล้างเครื่องสำอางช่วยค่ะ

จบรีวิวแป้งศรีจันทร์แบบย่อๆ เพียงเท่านี้ค่ะ. ^_^

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

ครั้งแรกกับการสั่งซื้อหนังสือที่ nstore

ทิ้งการอ่านการ์ตูนหรืองมังงะไปนาน พอกลับมาอ่านใหม่ ก็เลยมีหลายเรื่องที่ต้องตาม "เก็บ" ซึ่งก็หาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ร้านเช่าการ์ตูนและนิยายขาประจำก็ปิดตัวไปแล้ว เพราะเจ้าของร้านทำไม่ไหว พออายุเยอะเข้า สังขารก็ไม่ให้ ณ ตอนนี้ก็เลยตามอ่านเอาบนเว็บไซต์บ้าง หาซื้อจากร้านยี่ปั๊วหรือร้านใหญ่ที่มีสต็อกการ์ตูนเยอะๆ บ้าง แล้วก็ส่องหาการ์ตูนมือสองจากเว็บไซต์หรือเพจต่างๆ บนเฟซบุ๊ค

แล้วก็มีเหตุให้สั่งซื้อการ์ตูนจากร้านค้าออนไลน์สองแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงอดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบ เรื่องต่อไปนี้คือประสบการณ์ตรง บางอย่างที่เรารู้สึกว่าไม่ดี คนอื่นอาจจะเฉยๆ ก็ได้ เรียกว่าอ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณกันเองแล้วกัน

มาว่ากันที่ nstore ก่อน เพราะโปรโมชั่นดูดี แล้ว Death Note ก็เป็นการ์ตูนที่สนใจอยากอ่านมานานแล้ว เลยตัดสินใจลองสั่งหนังสือจากเว็บไซต์ในเครือเนชั่นฯ (nstore) พอสั่งหนังสือเรียบร้อย ก็เลือกวิธีจ่ายแบบบัตรเครดิต แต่ขั้นตอนการ varify บัตรยุ่งยากน่ารำคาญและน่าสับสนมากในความรู้สึก ครั้นพอจะเปลี่ยนใหม่เป็นโอนเงินผ่านธนาคาร ก็หาคำสั่งที่จะแคนเซิลไม่เจอ เพราะหน้าเว็บต่อตรงเข้าไปที่ paysbuy เสียแล้วในขั้นตอนการ varify บัตร กลายเป็นว่าเราต้องเข้าเว็บ nstore ใหม่อีกรอบ 

เอ้า ไม่เป็นไร ถือว่าเรางี่เง่าเอง พอเข้าไปใหม่ มองดูในตะกร้าสินค้า ก็เห็นมีแค่ 1 รายการ ก็เลยกดทำรายการต่อจนเรียบร้อย ได้ใบออร์เดอร์และเบอร์บัญชีธนาคารที่ต้องโอนเงินมาเสร็จสรรพ ก็นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว จบขั้นตอนแล้ว

ปรากฏว่าลองกลับเข้าไปเช็คที่หน้าของสถานะการสั่งซื้อ พบว่ามีรายการสั่งซื้อถึงสามรอบซ้ำกัน ทุกรายการอยู่ในสถานะรอจ่าย (pending) แถมไม่มีออพชั่นให้แคนเซิลด้วย ทำให้เราอดกังวลไม่ได้ว่า รายการที่สั่งตอนแรก (ไม่รู้ว่างอกมาจากไหนจนกลายเป็นสองรอบ) ซึ่งเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิต แต่เปลี่ยนใจนั้น จะตัดเงินในบัตรไปหรือยัง เพราะการทำเรื่องขอเงินคืน ในกรณีที่ไม่มีการซื้อ แต่ลงบัญชีไปแล้วนั้น น่าจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย จึงเขียนอีเมลไปแจ้งปัญหาถึงผู้ดูแลตามที่อยู่ที่ลงไว้ในหน้าเว็บ 

ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการตอบกลับในทันทีหรอก เพราะว่าวันที่ทำรายการคือวันหยุด วันเสาร์-อาทิตย์ พนักงานที่ไหนจะมาทำงาน กว่าจะได้เรื่องก็คงวันจันทร์บ่ายๆ เป็นอย่างเร็ว ถึงอย่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าทำเว็บไซต์ขายของแล้วไม่ว่างจะรับออร์เดอร์วันเสาร์-อาทิตย์ ก็ควรจะบอกให้ชัดเจนไปเลยว่าวันทำการคือวันไหน จากกี่โมงถึงกี่โมง ออร์เดอร์นอกเวลาทำการจะดีเลย์ประมาณเท่าไหร่ 

ส่วนของ Information, FAQ ในเว็บไซต์ก็ไม่ละเอียดเท่าที่ควร เน้นแต่ข้อมูลเกี่ยวกับ e-book เหมือนไม่สนใจลูกค้าที่ต้องการหนังสือแบบมีตัวตนจับต้องได้ ภาษาที่ใช้ก็ประหลาดพิกล (แน่ใจหรือว่านี่หน่วยงานในองค์กรทำงานสื่อฯ โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์?) บางทีเหมือนเขียนแล้วรู้เรื่องกันอยู่เฉพาะในองค์กร อย่างน้อยคุณก็ควรอธิบายว่าไอ้สินค้าแบบ physical ของคุณน่ะ มันคือหนังสือเป็นเล่มๆ หรือใช้ภาษาไทยดีไหม คนไทยไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษทุกคนนะ ยิ่งเว็บคุณขายการ์ตูนด้วยแล้ว คุณคิดว่าลูกค้ารุ่นเยาว์ของคุณจะเข้าใจกี่มากน้อยกันล่ะ 

หรือควรบอกว่าการจัดส่งของคุณน่ะ ใช้พนักงานบริษัท ไม่ใช่ไปรษณีย์ไทย ลูกค้าจะได้เขียนอธิบายทิศทางของสถานที่รับของเสียหน่อย นี่ถ้าเราไม่เคยบอกรับหนังสือการ์ตูนดิสนี่ย์ของที่นี่ให้น้องมาเป็นปีๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าการจัดส่งของที่นี่เป็นประมาณไหน  (ว่าแต่ไอ้ใบสั่งซื้อที่แจ้งไว้ในเว็บว่าจะส่งไปที่อีเมลของเราน่ะ ยังไม่ได้เลยสักใบนะ จนกระทั่งได้หนังสือแล้วก็ไม่มี มีแต่ใบสั่งซื้อแบบ "physical" ที่พนักงานของคุณปรินท์แล้วแนบกับหนังสือมาให้น่ะ)

โปรโมชั่นส่วนลดก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่น่าโมโห หนังสือเพิ่งวางแผง ก็เอามาลดแบบยกชุดเสียแล้ว คนที่ตามซื้อทีละเล่มบนแผงอย่างเราเห็นแล้วอดเคืองไม่ได้ แปลว่าอีกหน่อยเราไม่ควรซื้อหนังสือในร้านหรือบนแผงแล้วใช่ไหม เพราะถ้าสั่งทางเว็บ จะได้ส่วนลดมากกว่า (แต่ก็จะโดนบวกกลับภายหลังด้วยค่าส่งแพงๆ) หรือรอไปซื้อทีเดียวในงานสัปดาห์หนังสือดีกว่า (ในเว็บมีการใช้คำว่า "โปรฯ เดียวกับงานสัปดาห์หนังสือ" เห็นแล้วคิดถึงป้าย "เงื่อนไขเดียวกับงานมอเตอร์โชว์" ที่ติดอยู่ตามโชว์รูมรถเป็นยิ่งนัก) แล้วบริษัทคุณก็รอรับเงินแค่ปีละสองหนพอ จะเอาแบบนั้นก็ได้เหมือนกันนะ คนอื่นเป็นยังไง เราไม่รู้หรอก เรารู้แต่ว่าตัวเองเป็นลูกค้าที่ไม่ขวนขวาย ถ้ามีให้ซื้อก็ซื้อ ไม่มีให้ซื้อก็ไม่ซื้อ อย่าลืมว่าสินค้าของคุณไม่ใช่สิ่งจำเป็นของชีวิตแบบปัจจัยสี่ อะไรที่ซื้อยากเย็นนัก ชาวบ้านเขาก็ไม่เอา ง่ายๆ แบบนั้นแหละ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายนะ เพราะเราชอบการ์ตูนของค่ายนี้หลายเรื่อง และรู้สึกว่าที่นี่ให้ความสำคัญในการผลิต ทั้งเรื่องรูปเล่ม กระดาษที่พิมพ์และคุณภาพการแปล เรียกว่าเป็นสินค้าที่น่าซื้ออยู่แล้ว 

อ้อ! ยังไงก็ต้องชมพนักงานที่ติดต่อกับเรานะ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเอาใจใส่ลูกค้าตามสมควร และการตอบกลับลูกค้าถือว่ารวดเร็วใช้ได้ นั่นอาจจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของร้านออนไลน์ร้านนี้ ถ้าให้เราสรุปจากประสบการณ์ครั้งแรกครั้งนี้ เราคงบอกว่า เว็บไซต์ไม่เลว ระบบสั่งซื้อห่วย โปรโมชั่นน่าโมโห แต่พนักงานโอเค 

แต่ก็นั่นแหละนะ คิดว่าบ่นไปก็เท่านั้น เจ้าของร้านอาจจะไม่สนใจลูกค้ากระจอกๆ แบบเราสักเท่าไหร่หรอก

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Trilogy มหากาพย์แห่งความงุนงงแบบไทยๆ

เชื่อมั่นว่า Trilogy เป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่มีคนงุงงงสงสัยเรื่องการออกเสียงมากที่สุดในประเทศไทย ฮาาา ศัพท์คำนี้ได้เป็นประเด็นในการถกเถียง/พูดคุยในหมู่ผองเพื่อนของเรามาหลายรอบแล้ว (ขอมอบโล่เกียรติยศ)

มาดูความหมายแบบพอสังเขปก่อนเนอะ เท่าที่ค้นๆ มา พอสรุปได้ว่า
Trilogy (คำนาม) หมายถึงละคร, นวนิยาย, ภาพยนตร์, โอเปร่า, อัลบั้มหรือการแสดงที่มีสามตอน โดยแต่ละตอนก็มีความเกี่ยวเนื่องกัน ในยุคของกรีกโบราณ หมายถึงการแสดงโศกนาฏกรรมแบบสามองก์ที่แสดงต่อเนื่องกัน ปัจจุบันนี้ใช้กับอะไรก็ได้ที่แบ่งออกเป็นสามช่วง สามตอน สามภาค และมีความเกี่ยวข้องกัน

ทีนี้มาดูเสียงอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่เถียงกันไปมาได้สนุกดี อิอิ
http://www.macmillandictionary.com/pronunciation/british/trilogy

อันนี้มีทั้งสำเนียงแบบอังกฤษและอเมริกัน
http://www.forvo.com/word/trilogy/

อะ แถมแบบวิดีโอคลิปให้ด้วย
จะเห็นว่าทุกคลิปอ่านว่า "ทริ-โล-จี" หรือ "ทริ-ล่ะ-จี" โดยพยางค์แรก (tri) จะออกเสียงสั้นๆ

เท่าที่สังเกตมา สำหรับฝรั่ง จะออกเสียงต่างกันตรงพยางค์ที่ 2 (lo) ว่าจะเป็น โล หรือ ลา/ล่ะ แต่สำหรับคนไทย เถียงกันไม่รู้จบที่พยางค์แรกค่ะ ว่าจะอ่านว่า "ไทร/ทรัย" หรือ "ทริ" และมีคนไทยจำนวนมากอ่านคำนี้ว่า ไทร-โล-จี้ อยางมั่นอกมั่นใจค่ะ (คิดว่าคงติดมาจากคำว่า ไตรภาค)

แต่เราค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าคำนี้ควรอ่านว่า ทริ-โล-จี ถึงจะมีคนแย้งเราว่าอ่านว่า ไทร-โล-จี้ ก็ได้...เอ้า ได้ก็ได้ คือถ้าถามเราว่ามันใช่การออกเสียงที่ถูกต้องไหม ไอ่ ไทร-โล-จี้ เนี่ย เราคิดว่ามันไม่ถูกนะ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะมีสำเนียงท้องถิ่นที่ไหน อ่านว่า ไทร-โล-จี้ หรือเปล่า เราเองก็ไม่ใช่นักภาษาศาสตร์เสียด้วยซี อือม์ เอาอย่างนี้ดีกว่า เรียกว่าไม่ใช่เสียงอ่านแบบมาตรฐานดีกว่าเนอะ

เราเคยถามรุ่นน้องคนหนึ่งที่ไปร่ำเรียนอยู่ในอเมริกาหลายปี ทำงานขีดเขียนๆ เกี่ยวเนื่องกับภาษา เธอบอกว่าก็เคยได้ยินแต่ ทริ-โล-จี นะคะ พี่ แต่-เธอมีคำว่าแต่...สำหรับคนอเมริกัน อ่านแบบไหนก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ตึ่งโป๊ะ!

ที่จริงเราเคยเจอลิงค์ pronunciation ที่อ่านคำนี้ว่า ไทร-โล-จี ด้วยนะ เคยลองเสิร์ชหาเล่นๆ น่ะ แต่ตอนหลังหาไม่เจอแล้ว ไม่รู้หายไปไหน หรือว่าจะโดนลบทิ้งไปแล้วมั้ง คือถ้าโดนลบก็อยากรู้ว่าลบด้วยสาเหตุอะไร มันเป็นเสียงอ่านที่ผิดหรือยังไงกัน

หลังจากถามรุ่นน้องผู้ชำนาญภาษาแล้ว เรายังแจ้นไปถามญาติสาวชาวอเมริกันที่มีเป็นครูบาอาจารย์อยู่ที่บ้านเขา (แบบว่าเพิ่งนึกออกว่ากรูมีญาติเป็นฝรั่ง) นางบอกว่า เฮ่ย ตั้งแต่เกิดมาจนเรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ชั้นยังไม่เคยได้ยินคนอเมริกันที่ไหน อ่านคำว่านี้ว่า ไทรโลจี้ เล้ย

เราเลยสรุปกับตัวเองว่า โอเค คำนี้อ่านว่า ทริ-โล-จี น่ะ มรึงจำไว้ แต่ถ้าไปได้ยินใครอ่านว่า ไทร-โล-จี้ ก็ขอให้รู้ว่ามันคือคำเดียวกันนั่นแหละ แต่มันไม่ใช่สำเนียงมาตรฐาน คิดว่าเราควรจะรู้ก่อนว่าสำเนียงที่ถูกต้องคืออะไร แล้วค่อยไปทำความเข้าใจว่า อ้อ มันก็มีการอ่านแบบอื่นด้วยนะ

เอาเป็นว่าพึงอ่าน Trilogy ว่า ทริ-โล-จี ชัวร์กว่า จำไว้ ไม่ขายหน้า คอนเฟิร์ม.

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เมื่อ Thirty Seconds to Mars มาเล่นให้เราดูสดๆ ที่เมืองไทย

เราคิดว่า Thirty Seconds to Mars ไม่ใช่วงที่ดังมากมายอะไรนักที่เมืองไทยนี่ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีแฟนเพลงอยู่พอสมควร

ดังนั้น เมื่อได้ข่าวว่าวงโปรดจะมาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย อย่างแรกที่รู้สึกเลยคือแปลกใจ อย่างที่สองคือดีใจ และแน่นอนว่าเราต้องไปจัดบัตรคอนเสิร์ตมาแต่ไก่โห่ ตั้งกะบัตรแข็งยังไม่ออกแน่ะ โดยที่แอบลุ้นไปด้วยว่าคอนเสิร์ตจะล่มหรือไม่ล่ม เพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองบ้านเราตอนนี้ยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้นัก

แต่ว่าในที่สุด ก็มาถึงวันแสดงจริงๆ และไม่ได้มีข่าวว่างานจะล่ม เพียงแต่แอบได้ยินว่ายอดขายบัตรไม่ค่อยสวยนัก นี่ขนาดพี่จาเร็ด เลโท นักร้องนำของวงเพิ่งคว้ารางวัลออสการ์มาหมาดๆ คนก็ยังไม่ค่อยจะหืออืออะไรสักเท่าไหร่ แต่คิดอีกที ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้กันไปเลยว่าฐานแแฟนเพลงของวงนี้ในประเทศนี้จะมีอยู่สักเท่าไหร่กันแน่

หลักฐานการไปชมคอนเสิร์ต 30 STM
เราไปเจอกับน้องอีกคนที่นัดไว้ว่าจะไปดูด้วยกัน ไบเทค บางนา วันนั้นไม่ค่อยร้อน ผิดวิสัยเดือนเมษาฯ แถมยังมีฝนตกระหว่างทางอีกต่างหาก แหงล่ะว่าเราไปถึงแต่หัววัน แล้วก็เจองานประกวดเชียร์ลีดเดอร์หรือร้องเพลงอะไรสักอย่างที่จัดที่ไบเทคฯ ด้วย เสียงดังสนั่นลั่นอาคาร ก็เดินงงๆ กันไป หาอะไรใส่ท้องกันก่อน

ฟ้ายังไม่มืดเลย เราก็ตัดสินใจเข้าไปในบริเวณฮอลล์ EH106 ซึ่งเป็นที่แสดงคอนเสิร์ต อีตอนผ่านเข้าประตูก็ไม่มีอะไรมากนัก มีตรวจกระเป๋าและก็ให้ใส่ริสท์แบนด์ (แถบสีเหลืองในรูปอะ) ใช้เวลาไม่นานนัก (แต่หลังจากนั้น พอใกล้เวลาแสดง เพื่อนที่มาทีหลังบอกว่าคิวรอตรวจกระเป๋าและเข้าฮอลล์ยาวมากกกกกก) พอเข้าไปก็เจอบูธกิจกรรมต่างๆ มีที่น่าสนใจก็คือบูธเพ้นท์โลโก้สามเหลี่ยมของวงและสัญลักษณ์อื่นๆ แต่คิวยาวพอสมควร เราไม่ได้เพ้นท์กะเขาหรอก ขี้เกียจต่อคิว ก็เดินๆ นั่งๆ อยู่แถวนั้นกับเพื่อนใหม่ คือเจอกันสดๆ หน้างานนี่แหละ แล้วก็เนียนๆ เฮๆ กันไปราวกับรู้จักกันมานาน ทีนี้เดินไปเดินมา ก็ไปปะเอาโต๊ะขายซีดี ก็เลยสอยซีดีสองชุดแรกที่หาแผ่นได้โคตรยากกกกก ณ เวลานี้ แต่มีขายในงานนี้ในราคาถูกเหลือเชื่อคือแผ่นละ 220 บาท (แต่สองชุดหลังขายราคาปกติคือแผ่นละ 390 บาท) ก็จัดมาเรียบร้อย ที่จริงก็แอบอยากได้เสื้อทัวร์นะ และแพงเกินฐานเงินเดือนเรา T.T ตัวละตั้งพันกว่า ถึงอย่างนั้นก็ขายดีเวอร์วัง ยังไม่ถึงทุ่มนึง เสื้อก็หมดแล้วมั้ง เหลือแต่แบบอื่น

ปรากกว่าคอนเสิร์ตเลทมาก ตามกำหนดการคือเล่นสองทุ่ม แต่เอาเข้าจริงก็ปาเข้าไปสามทุ่มแน่ะ กว่าสามหน่อจะขึ้นเวทีกัน

ถ้าจะถามกันจริงๆ เราก็จำอะไรในคอนเสิร์ตไม่ได้มากนะ เล่นเพลงอะไรเป็นเพลงแรกยังจำไม่ได้เลย (กลับไปดูคลิปของเพื่อน ปรากฏว่าเป็นเพลง Birth จากอัลบั้มล่าสุด) มองก็ไม่ค่อยจะเห็นอะไรเท่าไหร่ เพราะเราเป็นพวกสูงน้อย ส่วนใหญ่ก็โดนบัง อาศัยดูจากมอนิเตอร์บ้าง ดูจากจอมือถือคนข้างหน้าบ้าง แต่ถ้าถามว่าสนุกไหม บอกได้เลยว่าสนุกมาก มันเป็นความรู้สึกเต็มอิ่มนะที่ได้ดูวงที่เราชอบมาเล่นสดๆ กันตรงหน้า แม้ว่าเพื่อนเราจะบ่นว่าระบบเสียงไม่ดีเท่าไหร่ แต่เราไม่ค่อยรู้สึก เพราะว่าโคตรแฮปปี้ ทุกอย่างเลยดูดีไปหมด (เป็นเอามาก ^^)

ช่วงแรกๆ สามหน่อใส่เพลงเป็นชุด แทบไม่ค่อยได้พูดอะไรเท่าไหร่ แล้วก็มีช่วงอะคูสติกที่เฮียจะเหร็ดแกพูดคุยกับแฟนๆ แล้วก็หยอดคำหวานถึงเมืองไทย เล่นเอาแฟนเพลงกรี๊ดกันสนั่นฮอลล์ เฮียเล่นเพลง Hurricane ซึ่งเป็นเพลงสุดโปรดของเราเลย


ส่วนเพลงนี้ Do Or Die พี่แกโบกธงไทยอย่างสนุกเลย ดูสกิลการควงธงของพี่เค้าแล้ว น่าจะผ่านการเป็นดรัมเมเยอร์มาก่อน เฮ้ย ไม่ใช่ มั่วแระ ^^



คลิปอื่นๆ ลองหาดุในยูทูบน่ะ มีเพียบเลย คลิปของบางคนถ่ายไว้ชัดมาก เสียงดีมาก สุดจะทึ่งกับกล้องมือถือยุคนี้จริงๆ 

ประมาณสี่ทุ่ม คอนเสิร์ตก็จบ มีอองกอร์รอบเดียว จบแล้วจบเลย เปิดไฟไล่คนเหมือนโรงหนังที่เพิ่งฉายรอบสุดท้ายจบ คนดูเหมือนจะงงๆ แต่ก็กลับบ้านกันแต่โดยดี ไม่มีงอแง เราก็คิดว่ามันสั้นไปหน่อย เหมือนมินิคอนเสิร์ตงานมีทติ้งกับแฟนคลับอะไรทำนองนั้น ไม่ได้เล่นเพลง From Yesterday กับ Attack ด้วย ซึ่งปกติจะเห็นเล่นในคอนเสิร์ตทุกครั้ง ก็ได้แต่หวังว่าเฮียจะติดใจเมืองไทย แล้วจะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่อีก

นอกจากวงแล้ว เรายังรู้สึกประทับใจคนดูนะ เห็นได้ชัดเลยว่าส่วนใหญ่เป็นติ่งตัวจริงอะ คือรอบตัวตรงที่เรายืนดูน่ะ ทุกคนร้องตามได้หมด ทุกเพลงเลยด้วย ซึ่งถ้าเคยฟังเพลงของวงนี้จริงๆ จะรู้เลยว่าร้องตามโคตรยาก แล้วยิ่งสำหรับคนไทยนะ แค่จำเนื้อร้องได้ก็เก่งมากๆ แล้ว

ที่สำคัญเราได้เพื่อนใหม่ที่น่ารักเพิ่มขึ้นด้วยล่ะ โดยที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าเราชอบศิลปินวงเดียวกัน 

ดังนั้น สำหรับเราแล้ว คอนเสิร์ตครั้งนี้จึงเป็นความประทับใจและเป็นความทรงจำที่ดีจริงๆ ^^