วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

It's a Y, Y World : Part III ว่าด้วยเรื่องของเลิฟซีน

โพสต์เดิมเขียนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2557

วันนี้เปรี้ยวปากอยากคุยเรื่องที่อาจจะทำให้สาวๆ ปิดหน้าร้องวี้ดว้ายด้วยความขวยอาย (แต่แอบเงี่ยหูฟัง) ซึ่งก็คือเรื่องของ เลิฟซีนในมังงะยะโอย

สำหรับเรานะ มองว่าเลิฟซีนในยะโอยเป็นเรื่องจำเป็น เป็นจุดขาย เป็นอะไรที่ต้องมี ต้องยอมรับว่าคนที่อ่านยะโอยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องการอ่านเลิฟซีน หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกับเนื้อหาก็คือ เซ็กซ์ซีน มากกว่า มียะโอยน้อยเรื่องมากที่พระเอกกับนายเอกไม่ได้ลงเอยด้วยการซั่มกัน เพราะถ้าไม่มีฉากอย่างว่าให้คนอ่านเห็น มันจะไม่ฟิน หากเป็นเรื่องที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งก็จะรู้สึกไม่มั่นใจว่ามันแฮปปี้จริงมั้ย เป็นอารมณ์ว่ารักต้องซั่มนะ ไม่งั้นผิดระเบียบ อะไรงี้ ตรงนี้เราว่าก็คล้ายๆ เวลาอ่านนิยายโรแมนซ์เหมือนกันนะ แบบที่มีชื่อเรื่องแนวๆ สวาท, ซาตาน, อสูร, คนเถื่อน ฯลฯ คือสุดท้ายพระ-นางต้อง "ได้" กัน

เท่าที่อ่านมาก็แอบแบ่งคร่าวๆ ตามใจตัวเองเป็นซอฟท์ยะโอย กับ ฮาร์ดคอร์ แบบซอฟท์ฯ ก็คือไม่ได้เขียนอะไรให้เห็นกันจะๆ ถ้าเป็นหนัง เป็นละคร ก็ออกแนวใช้มุมกล้องหลบเอา หรือว่าอาจจะวาดให้เห็นแค่อากัปกิริยาว่าทำกิจกรรมใดกันอยู่ เน้นสีหน้าท่าทาง อาจารย์บางท่านก็งดเว้นการวาดอวัยวะสำคัญ กลายเป็นที่ว่างขาวๆ วาดแค่ให้เห็นว่ามือไม้จับอะไรไว้ก็พอ แล้วใส่ตัวหนังสือเป็นซาวน์ด เอฟเฟ็คต์เข้าไป จากนั้นคนอ่านก็คิดต่อเอาเอง

แบบฮาร์ดคอร์ก็คือวาดให้เห็นชัดแจ้งกันไป ไม่ต้องใช้จินตนาการให้เหนื่อย มาเป็นไส้กรอก-ไข่ต้มกันเลยทีเดียว พวกฮาร์ดคอร์นี่ บางเรื่องก็จะมีฉากพิสดาร เล่นท่ายาก หรือใช้อุปกรณ์ประกอบด้วย (เอ๊ะ นี่มันยิมนาสติกลีลาใหม่หรืออย่างไร?) โดยส่วนตัวเราอ่านได้ แต่ไม่ได้ชอบมากนัก คือไม่ใช่แนวอะ ถ้ามันไหลไปกับเรื่องได้ก็โอเค แต่ถ้าดูเหมือนยัดเยียดเกินก็จะทำให้อึดอัดมากกว่า มียะโอยหลายเรื่องที่เน้นฉากดุเดือดแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล แล้วทำให้เรารู้สึกว่าเยอะเกิน คืออีกนิดนึงก็เป็น Hentai เป็น Porn ไปแล้วหรือเปล่า? แต่ก็มีหลายเรื่องที่ขายฉากเซ็กซ์แล้วเขียนออกมาได้เซ็กซี่มาก ถึงจะรู้สึกว่าเวอร์ไปหน่อย ก็ไม่ใช่ปัญหา

แน่นอนว่าก็ต้องมีคนที่ชอบเซ็กซ์ซีนแบบเข้มข้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแปลกอะไร เรื่องของรสนิยมไม่มีความผิดหรือถูกอยู่แล้ว ในเว็บไซต์ที่เราอ่าน ถ้าเป็นยะโอยเรทจัดๆ แบบนี้มักจะระบุว่าเป็นแนว Smut ด้วย (ไปเปิดดิคฯ ดูกันเองนะว่าแปลว่าอะไร) ถ้าใครไม่ชอบเห็นอะไรจะแจ้งแทงตลอด ก็เลี่ยงกันไปดีกว่า

ปล. แอบตั้งโปรเจ็คท์ไว้ว่าจะเขียนประมาณ 100 เรื่องยะโอยที่น่าอ่าน ยังไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน (และทำไมกรูถึงคิดจะเอาดีทางนี้? ฟหกด่าสว) ทำไมเวลาทำงานไม่ขยันแบบนี้มั่งเนอะ 555

It's a Y, Y world : Part II

โพสต์เดิมเขียนเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2557

เดิมทีกะว่าจะเขียนถึงแต่มังงะยะโอยอย่างเดียว ไม่คิดว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับโลกของสาววายมากมายนัก แต่กลายเป็นว่ามีเหตุสะกิดใจขึ้นมาอีก

เรื่องของเรื่องคือได้ไปอ่านโพสท์ของชาววาย เล่าถึง "ยุคมืด" แล้วก็ความยากลำบากของการเป็นสาววายว่าเป็นที่น่ารังเกียจขนาดไหนในยุคก่อนหน้านี้ มีการกวาดล้างวรรณกรรมวายๆ กันอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งเราไม่เห็นรู้เรื่องเลยง่ะเพราะยังไม่ได้สนใจยะโอย แต่เดาๆ ว่าน่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่มีการกวาดล้าง-เพ่งเล็งนิยายแปลแนวพาฝันชาย-หญิงแบบที่มีเลิฟซีนติดเรทเยอะๆ อะไรทำนองนั้น เพื่อผดุงศีลธรรมอันดีงามของสังคม ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหา (ถ้าจะมองว่านั่นคือปัญหา) ที่ถูกเท่าไหร่ เข้าทำนองเกาไม่ถูกที่คัน วิธีที่น่าจะดีกว่านั้นคือการติดเรทให้หนังสือ จำกัดอายุผู้อ่าน เหมือนหนังหรือรายการทีวีที่มีการจำกัดอายุคนดูนั่นแหละ

ทีนี้ มันมาถึงประเด็นที่ว่ามีสาววายรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่นิยมประกาศตัวว่าข้านี่นะ วายแท้ตัวแม่ และนิยมแสดงความหื่นในที่สาธารณะแบบไม่เกรงใจโลก เพราะคิดว่ามันเก๋และเท่ แบบเดียวกับที่คนไทยบ้ามังงะจำนวนหนึ่งที่คิดว่าการเป็น "โอตะคุ" คือโคตรเท่ สาววายรุ่นซีเนียร์จึงเกิดความกังวลว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของกลุ่ม ซึ่งปกติก็ยากจะหาใครนิยมชมชื่นได้อยู่แล้ว ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก จึงอยากขอความกรุณาสาววายประเภทดังกล่าว ช่วยเก็บกิริยาไว้นี้ดดดนึง อะไรงี้

โอววว์ ที่แท้สาววายก็มีด้านมืดเหมือนกันนะนี่ คงเพราะปกติเราลำเอียงน่ะ เราขอบคิดว่าสาววายน่ารัก เหตุที่คิดอย่างนั้นเพราะส่วนใหญ่เวลาอ่านอะไรที่เพจ จะเห็นว่าพวกเธอตลกดี มีมุกตลกขำๆ มาเล่าตลอด ก็เลยไม่ทันคิดว่าจะมีสาววายเวอร์ชั่นเกรียนอยู่ด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์เกรียนก็คงมีอยู่ทุกวงการอะเนอะ โดยส่วนตัวเราถึงจะคิดว่าการเป็นสาววายไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอวดนะ เพราะว่าคนในโลกนี้ก็มีหลายประเภท แล้วคนที่จะรับเรื่องแบบนี้ได้โดยสนิทใจก็คงไม่ได้มีอยู่มากมายนัก 

พอคิดไปถึงตอนที่อ่านยะโอยตอนแรกๆ ก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลยกับการอ่านหรือดูอนิเมะแนวยะโอย คงเป็นเพราะว่าก็ปูนนี้แล้ว (ฉึก-ฉึก-ฉึก) เห็นมาเยอะแล้ว แปลกกว่านี้ก็เจอมาแล้ว (ฮา) อย่างตอนอ่านเจอเลิฟซีนครั้งแรกๆ ก็รู้สึกจั๊กกะจี้นิดหน่อย ก็เป็นแบบว่า อ้อ ผู้ชายสองคนเวลา xxx กัน เขาทำกันแบบนี้เองเหรอ ก็มีแอบสงสารนายเอกที่เป็นฝ่ายรับนะ เพราะดูแล้วน่าจะเจ็บอะไรงี้

ที่จริงสมัยก่อนก็มีการ์ตูนที่ไม่ถึงกับเป็นยะโอย แต่ว่าตัวละครผู้ชายมีความสัมพันธ์คล้ายๆ คู่รักกันแทรกๆ อยู่หลายเรื่อง ถ้าบอกชื่อไปต้องรู้แหงว่าเรารุ่นไหน...^^' ยกตัวอย่างเช่น Touring Express, From Eroica with Love, ลำนำต่างพิภพ, ฝากฝันสู่กาลนิรันดร์ ฯลฯ พวกนี้อาจจะมีส่วนทำให้เราไม่ค่อยตกใจอะไรเท่าไหร่เวลาอ่านยะโอย เพราะก็ไม่ได้มีอะไรต่างจากเรื่องที่เคยอ่าน แค่เพิ่มเลิฟซีนเข้ามาเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่ยะโอยที่เราอ่านนั้น เราเลือกเพราะว่ามันตลก เป็นคอเมดี้เฮฮา ไอ้เรื่องเลิฟซีนอะไรนี่ ไม่ได้ว้อนท์มาก คือไม่ได้อยากดูผู้ชายสองคนจิ้มกันขนาดนั้น แต่ก็ชอบเลิฟซีนสวยๆ นะ อาจารย์บางคนวาดได้สวย คือสื่อความรู้สึกของตัวละครได้ดี ก็คงเหมือนเวลาเราอ่านงานอีโรติกดีๆ ภาษาสวยๆ แบบนิยายของ อนาอิส นีน อะไรทำนองนั้น

เรื่องเลิฟซีนของยะโอยนี่มันมีหลายมุมที่น่าคิดเหมือนกัน เอาไว้ไปเรียบเรียงความคิดก่อน แล้วค่อยมาเม้าให้ฟังวันหลัง ถ้าไม่ขี้เกียจไปเสียก่อน.

It's a Y, Y world.

โพสต์เดิมเขียนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557

ก็อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ห่างหายจากโลกมังงะ-อนิเมะไปนาน พอกลับมาหาน้ำพริกถ้วยเก่า (ฮะ?) อีกครั้ง ก็ได้เจออะไรใหม่ๆ เยอะแยะในโลก 2D

หนึ่งในนั้นคือมังงะยะโอะอิ (Yaoi ส่วนใหญ่ออกเสียงกันว่า ยะโอย มากกว่า) คนไทยส่วนใหญ่เรียกกันสั้นๆ ว่าการ์ตูนวาย เดี๋ยวนี้มีศัพท์ใหม่ที่ดูดีขึ้นมาหน่อยคือแนวบอย'ส เลิฟ (Boy's Love เรียกย่อๆ ว่า BL) คิดว่าคำนี้น่าจะแปลมาจากคำว่า Shonen ai ในภาษาญี่ปุ่น แต่ในสายตาคนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่สาววายแล้ว มักจะเหมารวมว่าทั้ง ยะโอย กับ BL เป็นการ์ตูนแบบเดียวกันคือการ์ตูนเกย์ ทั้งที่ในรายละเอียดแล้วก็ต่างกันพอสมควร โดยส่วนตัวเราแบ่งแบบง่ายๆ หยาบๆ เลยก็คือ ยะโอย จะมีเลิฟซีน (แน่นอนว่าติดเรท) ส่วน โชเน็งไอ จะไม่มี อย่างมากก็จูจุ๊บมุ้งมิ้งกันไปพอให้คนอ่านกิ๊วก๊าวเล่น แต่ผิดถูกยังไง ไม่ยืนยัน ห้ามเอาไปอ้างอิงทางวิชาการนะเออ

ตัวการที่ทำให้เราหลงมาหาโลกของชาววาย ซึ่งก็คือ คู่จิ้นแห่งยุค จากการ์ตูนโคตรดัง "ผ่าพิภพไททัน" Eren x Levi เราก็อธิบายไม่ถูกว่ามันน่าติดใจตรงไหน แต่ดูแล้วมันใช่เลย (ทอดทิ้งนางเอกของเรื่องตัวจริงอย่าง มิคาสะ ไปแบบไม่แยแส ซิกซ์แพ็คช่วยอะไรไม่ได้) ประกอบกับมีงาน Fanarts สวยๆ น่ารักๆ ให้ดูเยอะมาก แต่ว่าอ่านไปอ่านมาก็เกิดไปติดใจคู่เอรุริ (Eruri) หรือ Elwin x Levi มากกว่า เพราะเราเป็นมนุษย์ชอบอ่านการ์ตูนสั้นแบบ Omake ซึ่งโอมาเคะของคู่นี้มันจะตลกมากกกกก ก็เลยยิ่งทำให้ติดหนึบหนับ 

ลีวาย/รีไวล์ เตี้ยเทพหน้าเหวี่ยงขวัญใจอิชั้น
ตามดูจากโอมาเคะ ก็มาถึง คลิปวิดีโอ จุดสำคัญคือวิดีโอ MMD ของ nico ที่จะมีคู่เอกในรูปแบบ 3D ของเรามาร้องบ้าง เต้นบ้าง ดูแล้วก็เพลินนะ (คลิปข้างล่างของเดี้ยเทพนี่ เราชอบมาก movement ของโมเดลเนียนโคตรๆ เลือกเพลงเก่งด้วย)




อีกประเภทนึงคือคลิปแบบ Tribute ของบรรดาแฟนเกิร์ลของคู่นี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกเพลงได้เพราะจริงๆ ทีนี้ เวลาเราดูคลิปในยูทูบ มันก็จะมีคลิปแนะนำให้เราใช่ปะ ซึ่งเวลาเราเปิดดูคลิปแบบ Eren x Levi อะไรนี่ มันก็ต้องมีการ suggest คลิปแนว BL มาด้วยเป็นธรรมดา เราก็เปิดดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชอบมั่ง ไม่ชอบมั่ง ดูใหม่ๆ ก็จึ๊กกะดึ๋ยพิลึกกับเลิฟซีน  แต่พอเริ่มชิน (คือก่อนหน้านี้ก็เคยดูหนังเกย์มาตั้งไม่รู้กี่เรื่อง จะสะดิ้งไปทำไมแว้) เราก็จะไปโฟกัสอย่างอื่น เช่น พล็อตเรื่อง (ทำหน้าจริงจัง)

เวรกรรมบังเกิดเมื่อมาถึงคลิปของ Junjou Romantica กับ Sekai-Ichi Hatsukoi ดูแล้วก็ติดซิฮ้าฟฟฟ ต้องบอกว่าอนิเมะ BL สองเรื่องนี้สนุกโคตรๆ น่ารักโคตรๆ นั่งดูกันจนไม่เป็นอันทำงานทำการ เมื่อก่อนไม่เข้าใจว่าเพื่อนติดซีรี่ส์เกาหลี ดูจนไม่กินไม่นอนน่ะ ทำไปได้ยังไง แต่หลังจากงานนี้ เข้าใจอย่างสุดซึ้งเลยคร่าาาา

แล้วจากคลิปวิดีโอมันก็วนมาที่มังงะนั่นแหละ คือพอดูอนิเมะ เราก็อยากอ่านมังงะ พออ่านๆ ไปตามเว็บมังงะ มันก็มี suggest แบบเเดียวกับยูทูบ...ก็อ่านอะไรอยู่ล่ะคะ? BL ใช่มั้ยคะ? เว็บจัดให้ ทีนี้แหละ คุณเอ๋ย รายชื่อ BL manga เรียงมาเป็นตับ เลือกจิ้มไม่ถูกกันเลย ปกติเราเป็นคนที่เลือกอ่านมังงะโดยเลือกจากลายเส้นในการวาดเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าชอบล่ะก็ จิ้มดูก่อนเลย แล้วถ้าอ่านไป 3-4 หน้าแล้วรู้สึกว่าโอเค ไม่เบื่อ ก็จะอ่านไปได้เรื่อยๆ ไม่ค่อยเกี่ยงว่าจะแนวไหน สำหรับเรา ยะโอย นี่เหมือนนิทานก่อนนอนผสมยาแก้ปวดหัวอะค่ะ ถ้าเครียดมา แล้วอยากอ่านอะไรเบาสมอง ก็เปิดยะโอยอ่านสักบทสองบท เป็นอันว่าคลายเครียดได้ หลับสบาย

จะเล่าให้ฟังสักหน่อยถึงตอนแรกๆ ที่ตามรอยโดจิน/โอมาเคะของเตี้ยเทพเข้าไปดูบรรดาเพจของสาววายก็รู้สึกงุนงงกับศัพท์เฉพาะของชาววายเป็นอันมาก อะไรคือ จิ้น, ฟิน, เมะ, เคะ, เสะ, แพริ่ง ฯลฯ งงเหลือหลาย ต้องถามอากู๋กูเกิลกันให้จ้าละหวั่น แต่พอเริ่มชิน เริ่มรู้ความหมาย ก็รู้สึกว่าอ่านโพสท์ อ่านเม้นท์ของบรรดาสาววายก็สนุกนะ พวกเธอตลกดีออก ขำพอๆ กับเวลาอ่านเพจบรรดาเพื่อนกะเทยเลย เราถึงได้ตกใจทีเดียวเวลามีใครด่าสาววายรุนแรงราวกับพวกเธอเป็นอาชญากร หรือทำท่ารังเกียจราวกับเป็นไส้เดือน กิ้งกือ อั๊ยย่ะ ไม่ยักรู้ว่าการเป็นสาววายมันน่ารังเกียจขนาดนั้น? หรือจะเป็นกลไกการป้องกันตัวทางจิตวิทยากันนะ? ก็เข้าใจล่ะ ว่าชายแท้ส่วนใหญ่ ถ้ารู้ตัวว่าโดนจิ้นเกย์ ย่อมรู้สึกพิพักพิพ่วน แต่เราว่าตราบใดที่การจิ้นยังอยู่แค่ในหัว ก็ปล่อยพวกเธอไปเอาบุญเถอะค่ะ 

พูดอย่างนี้เดี๋ยวจะหาว่าเข้าข้างสาววาย ซึ่งก็ใช่น่ะสิ (แบร่ :P) แม้เราจะไม่กล้านับตัวเองว่าเป็นสาววายกะเค้า (พลังจิ้นยังอ่อนด้อยนัก) แต่คิดว่าพวกเธอก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรนี่หว่า เราว่าสาววายในประเทศนี้น่ะ มีไม่น้อยหรอก ที่จริงแล้วมีทั่วโลกเลยแหละ (ถ้าคุณเห็นเว็บบอร์ดของสาววายในเว็บมังงะที่เราอ่านแล้วจะหนาว) โดยส่วนตัวคิดว่าผู้หญิงอาจจะจิ้นวายกันได้เกือบทุกคน อยู่ที่ว่าวายมากหรือวายน้อยเท่านั้น คือถ้าแนะทางให้หน่อยนะ จะนึกออก แต่จะชอบหรือจิ้นต่อได้แค่ไหนก็อีกเรื่องนึง

เวิ่นเว้อวุ่นวายมาเยอะล่ะ จบดื้อๆ เลยดีกว่า เอาไว้ค่อยมาเขียนเรื่องมังงะอมตะในดวงใจอย่างกุหลาบแวร์ซายส์มั่งเนอะ อิอิ.

ไปสอยมังงะที่งานสัปดาห์หนังสือ 2557

โพสต์เดิมเขียนเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2557

เราเลิกไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ (ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า "งานหนังสือ") ไปนานหลายปีเพราะเบื่อคลื่นมนุษย์ อากาศร้อนและการโดนมนุษย์ป้าเหยียบเท้าหรือลากรถเข็นทับตรีน รวมถึงปวดหูจากบรรดาเด็กเชียร์แขกของแต่ละบูธ มีบางปีที่ต้องไปเพื่อพาบุพการีไปเลือกซื้อหนังสือ แต่หลังๆ คุณนายที่บ้านเธอก็เริ่มเบื่อๆ เอือมๆ บรรยากาศ ก็เลยงดเว้นการไปเดินงานหนังสือเสียอย่างนั้น

แต่เนื่องจากกลับมาอ่านมังงะใหม่และมีหลายเรื่องที่ตามซื้อตามเก็บจากร้านปกติไม่ทัน ก็เลยตัดสินใจรวบรวมพละกำลังกลับไปลุยงานนี้อีกครั้ง เพื่อสอยมังงะที่ตกค้างอยู่ในใจ เป็นงานของอ. มิยูกี ทาคาฮาชิ (มัจจุราช หมายเลข 9, เอล, คนไร้ภพ) คิดมั่วเอาเองว่าเราคงเป็นหนึ่งในติ่งจำนวนโคตรน้อยของอาจารย์ในประเทศนี้ T.T ทีนี้ พอเห็นทาง FB ของ วิบูลย์กิจโพสท์ว่าจะเอา "คิรุโตะ S" มาขายแบบยกชุด เราถึงกับใจสั่น ยกมือทาบอกพลางภาวนาว่าอย่าให้ติ่งที่ไหนมาเห็น เพราะกลัวว่าถ้ามีอยู่ชุดเดียว แล้วจะไปไม่ทันสอย เวลาดูรูปที่โพสท์บนเพจของสนพ. ก็ท่องในใจไปด้วยว่า "ของชั้นๆๆๆๆๆ" (เป็นเอามาก)

หลังจากทุรนทุรายกับการปิดจ็อบอยู่หลายวัน เราก็พอมีเวลาไปเดินงานนี้กะเขามั่ง ไปคนเดียวเลยด้วย เพราะกลัวว่าถ้ามีเพื่อน เดี๋ยวลากกันไปโน่นมานี่ เราก็จะลืมหมดว่ามาล่าหนังสืออะไร ก็นั่งรถใต้ดินไปถึงที่โน่นตอนราวๆ บ่ายสอง บรรยากาศก็คึกคักพอสมควร คนเยอะทีเดียว แต่ยังพอเดินได้ ปรากฏว่าโซนการ์ตูนและสินค้าเกี่ยวเนื่องนี่อยู่กันด้านหน้าเลย แบบนอกอาคารน่ะ จะเป็นเต็นท์ใหญ่มากๆ มีสองฟาก สองล็อค เราก็เดินไปที่ Luckpim ก่อนเลย เพราะที่ตั้งบูธจำง่าย อยู่ริมสุดด้านที่ติดกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ไปจัด Love Stage กับ ฝ่าวิกฤตแม่มดวิปลาสเล่ม 2 มาก่อน เรื่อง Love Stage นี่ ที่จริงเราอ่านบนเว็บแล้วนะ แต่ว่าก็อยากอุดหนุนเจ้าของงาน ก็เลยจัดมา ได้แต่เล่ม 2 เพราะเล่ม 1 หมดเกลี้ยง ขายดีเวอร์ ได้ข่าวว่าของลงเมื่อไหร่ ไม่ถึงสองชั่วโมง ขายเกลี้ยง

Love Stage เล่ม 2 ส่วนเล่มแรก ไปซื้อไม่ทัน ขายหมดไปแล้ว

ออกจากบูธ Luckpim ก็เดินเล่นดูโน่นนี่ไปมา คือพยายามหาทางเข้างาน แต่ไขว้เขวเพราะมีของที่ขายมากมายแปะโลโก้ Attack on Titan ก็เลยแวะดูแวะชม อยากได้หลายสิ่งอย่าง แต่ไม่ได้ซื้ออะไรมาก พราะมันแพงโคตรรรรร สุดท้ายได้แค่พวงกุญแจกับวาชิเทป (คล้ายๆ กระดาษกาว แต่จะมีลวดลายน่ารักสวยงาม สาวๆ ที่ชอบเล่นสแครปบุ๊ค เย็บสมุด ทำงานพวก DIY จะรู้จักดี) เป็นเตี้ยเทพจิบิลีวาย (รีไวล์) ทั้งสองชิ้น พอดีเราชอบตัวการ์ตูนแนวจิบิน่ะ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าซื้อมาแล้วจะเอาไปทำอะไร ฮ่าๆๆๆ แต่แค่สองชิ้นนี้ก็จ่ายไปเกือบห้าร้อยบาทแล้วนะ นี่เรียกว่าตัดใจกันสุดๆ เลย


เพิ่มคำอธิบายภาพ
พวงกุญแจเตี้ยเทพ
วาชิเทปลายลีวาย แกะออกมาแล้วได้ประมาณนี้

แล้วพอเดินไปอีกล็อคนึง (จำชื่อบูธไม่ได้แล้ว ก็เจอสินค้าไททันอีกเพียบ มีรูปเตี้ยเทพไดคัทแบบเต็มตัวตั้งไว้เชียร์แขกด้วย เดินไปอีกหน่อยก็เจอปลอกหมอนข้างหรือผ้าม่าน (ไม่แน่ใจ) เป็นลายลีวายกับเอเรนแขวนโชว์อยู่หน้าบูธ เรียกว่าสาวกมาเห็นเป็นต้องน้ำลายหกด้วยความอยากได้แน่นอน แต่เห็นราคาแล้วก็อาจจะต้องยอมถอยทัพกันแต่โดยดี ขนาดเสื้อยืดสกรีนลายไก่กายังขายตัวละตั้งแปดร้อย ถ้าเป็นแบบมีลายเอเรน-ลีวาย ราคาพุ่งไปถึงพันเก้าเลยนะ เป็นลมกันได้เลย ตามสะดวก เอิ่กกกก



หลังจากเข้ามาในอาคารจัดงาน เราก็เดินหาบูธวิบูลย์กิจซึ่งในโพยบอกว่าอยู่โซนพลาซ่า คำถามคือว่าโซนพลาซ่ามันอยู่ที่ไหนวะคะ? แล้วกว่าจะหาจุดประชาสัมพันธ์เจอก็แบบว่า กุเหนื่อยอะ >"< ปรากฏว่าอีโซนนี้มันคือซอกที่อยู่ข้างๆ พวก Meeting Room เราเดินผ่านหลายรอบแล้ว แต่ไม่รู้ว่านั่นคือโซนพลาซ่า เอาล่ะ พอเข้าใจทิศทางก็พุ่งเข้าไปหาบูธที่หมายมั่น ปรากฏว่าบูธวบก. ไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรนะ แค่มีคนยืนมองหาการ์ตูนในบูธสักสิบคนก็แย่แล้วน่ะ มันดูอะไรไม่เห็นเลย ดังนั้น เราขอแนะว่า ควรจดรายชื่อการ์ตูนที่ต้องการไปเลย แล้วให้คนที่บูธหาให้ เราก็ทำแบบนี้แหละ คือจริงๆ แล้วจดไว้เพราะกลัวลืม แต่พอเห็นสภาพบูธแล้วรู้เลยว่าเราหาอะไรเองไม่เจอแน่นอน ก็เลยใช้วิธียื่นรายชื่อถามเอา ตอนแรกไปถามพี่ผู้ชายเสื้อทหาร พี่แกตอบแบบไม่มีเยื่อใยเลยว่า ไม่มีคิรุโตะ S ส่วนยามาโตะอยู่ข้างหน้า เราก็ไปหาสิ ปรากฏว่าไอ้เรื่องที่เราถามน่ะ คือตำนานเทพยามาโตะ แต่ฮีนึกว่าเราถามเรื่องยานรบยามาโตะ ฮ่วย! ก็คิดว่าจะกลับแล้ว ตัดใจแล้ว ช่างแม่งเหอะวะ แต่ลังเลอยู่แป๊บนึงก็เลยตัดสินใจถามใหม่กับคนใหม่ ทีนี้รายชื่อก็ถูกส่งต่อๆ กันไป แล้วในที่สุดก็มีน้องผู้หญิงที่เข้าใจว่าเรากำลังตามหาอะไร (น้ำตาไหลพรากในใจ น้องคือฮีโร่ของพี่ T.T) นางหา คิรุโตะ S ให้เราได้สำเร็จ (ไชโย!) แต่นางพลาดเรื่องยามาโตะ นางไปหยิบเรื่องตำนานโทโมเอะมาให้เราแทน แต่เป็นของ อ. มิยูกิ ทาคาฮาชิ เหมือนกัน ไอ้เราก็ดันคิดว่าตัวเองจดชื่อผิด ก็เลยจัดมา จริงๆ คือไม่เกี่ยง ขอให้เป็นงาน อ. มิยูกิ เราเอาหมดแหละ



ทีนี้ตอนจ่ายเงิน พอดีเราซื้อเรื่องกัปตันฮาร็อคด้วย แล้วก็โชคดีได้ตั๋วหนังเรื่องนี้มาด้วยสองใบ ดีใจสองเด้งเลยอะ เพราะเราอยากดูเรื่องนี้ในโรงสักครั้ง คือให้ซื้อดีวีดีก็ได้นะ แต่อยากดูจอใหญ่ๆ ไง แล้วเราชอบเสียงโอกุริซังที่พากย์เสียงกัปตันฮาร์ร็อคมาก เสียงโคตรเซ็กซี่ ก็เลยแอบกรี๊ดเบาๆ ในใจ ฟินอะ


หลังจากนั้นเราก็แวะไปซื้อหาหนังสือแม่บ้านกับเพื่อน (แนวตัดเย็บ/งานฝีมือ) แล้วก็แวะดูหนังสืออีกนิดหน่อย สุดท้ายก็เลยอุดหนุนการ์ตูนคนไทย สอย Let's Comic ฉบับ Erotica มาอีกเล่ม เป็นหนังสือมีเรทนะ เพราะเนื้อหาก็ล่อแหลมพอสมควร คือจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหื่นกามนักหนาหรอกนะ ในความเห็นเรา แต่สำหรับเด็กเล็กๆ ก็ยังไม่ควรให้อ่านหรอก ยังไม่ถึงเวลา


บอกตรงๆ ว่าซื้อเล่มนี้เพราะเคยเห็นเพื่อนโพสท์ถึง แล้วก็เป็นอารมณ์อยากช่วยอุดหนุนคนไทยบ้าง กับมีสัมภาษณ์ Onnies ด้วย คนนี้เป็นเลเยอร์ที่เราชอบมาก ไม่ใช่เพราะสวย แต่เธอรั่วได้น่ารักมาก ซึ่งเราคิดว่าโคตรมีเสน่ห์เลย สวยอย่างเดียวมันน่าเบื่อนะ
เป็นอันว่าวันนั้นกลับบ้านแบบโคตรหนัก แบกหนังสือเป็นกิโลฯ แต่แฮปปี้เพราะว่า Mission เกือบๆ จะ Completed พลาดไปเรื่องนึง แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ส่วนปีหน้า ถ้ามีการ์ตูนน่าสนใจ เราก็อาจจะไปก็ได้นะ ต้องรอดูกัน.

Devil's Honey : ความรักของหัวหน้าแก๊งกับครูพละ

โพสต์เดิมเขียนไว้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2557

ที่จริงกะคิวไว้ว่าจะเขียนถึงเรื่องอื่น แต่มีเหตุทำให้ต้องรีบตาแตกตาแตนมาเขียนเรื่องนี้ก่อน



กล่าวคือเคยเก็บลิงค์เรื่อง Devil's Honey นี้ไว้ในรายการที่จะอ่าน แล้วพอคลิกไปดูอีกที ปรากฏว่ามันหายไปแล้วค่ะ ไฟล์มันหายไป! ฟหกด่าสว (กรีดร้อง)

พอลองไล่อ่านๆ ในเว็บบอร์ดดู เข้าใจว่าเป็นเพราะตอนนี้มีมังงะเรื่องนี้ขายในรูปของไฟล์ PDF ให้ดาวน์โหลดได้ ทางคนที่เคยอัพโหลดก็เลยลบไฟล์ทิ้ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นไปตามมารยาทหรือโดนร้องเรียนมา แต่เราก็หาอ่านจนได้แหละ แฮ่! แต่เป็นภาษาอังกฤษนะ เธอว์ ส่วนภาษาไทย เท่าที่ลองค้นดู มีแบบพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเลยแหละ แต่อาจจะหายากสักหน่อย เพราะเก่าแล้วเหมือนกัน

Devil's Honey เป็นยะโอยแบบขำๆ ปนตลก แนวรักระหว่างครู-นักเรียน คนเขียนคนเดียวกับเรื่อง House Backer ตัวเอกวาดได้น่ารักทั้งคู่เลย โดยเฉพาะนายเอก น่ารักแบบเด็กผู้ชายแท้ (คือไม่จำเป็นต้องสวยอ้อนแอ้นมากจนเหมือนผู้หญิงใส่ชุดผู้ชายน่ะ) แล้วก็เฮี้ยวมาก คือเป็นหัวหน้าแก๊งประจำโรงเรียน เก่งเรื่องเตะต่อย อัดจิ๊กโก๋เป็นที่สุด จนได้สมญาว่าเป็น "ปิศาจ" ของโรงเรียน แต่เจ้าตัวมีปมตอนเด็กซึ่งกลายเป็นความหลังระหว่างตัวเองกับคุณครูพละประจำโรงเรียน ซึ่งมีสกิลการต่อยตีเทพกว่า และเป็นพระเอกประจำเรื่องของเรา แต่ปัญหาคือเป็นคุณครูก็ต้องคุมเด็กเกเร (ในสายตาครูใหญ่) ให้อยู่ ไม่งั้นไอ้เด็กนี่ต้องโดนไล่ออกแน่ แต่คุมไปคุมมา ครูดันไปหลงรักเด็กซะงั้น

Devil's Honey เดินเรื่องไม่ช้าไม่เร็ว ความยาวกำลังดี แบบรวมเล่มก็เล่มเดียวจบน่ะ แต่เลิฟซีนมีไม่เยอะ (ที่จริงแล้วมีช็อตเดียวนะ) ใครชอบแบบให้มีเซอร์วิสเยอะๆ ก็อาจจะไม่สมหวังเท่าไหร่ เราชอบบทท้ายๆ ที่ โยชิโนะ (นายเอก) ไปเที่ยวบ้าน โทชิมิตซึ เซนเซ (พระเอก) แล้วแอบงอน เพราะไปเจอสมบัติของแฟนเก่าของคุณครูทิ้งไว้ แม้ปากจะบอกว่าไม่หึงๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ผู้ใหญ่เลยต้องหาทางโอ๋เด็ก บทนี้ทั้งตลกและน่ารักดี ^^

ขอให้สนุกกับการอ่านยะโอย อิอิ

ชื่อเรื่อง : Devil's Honey (デビルズハニー)
ผู้วาด/แต่ง : นัทซึเมะ อิซะคุ (Natsume Isaku)
ประเภท/แนว : ยะโอย, ตลก
ปีที่ออก : 2554

House Backer : เรื่องตลกของหนุ่มๆ ที่ชวนให้แอบอมยิ้ม

โพสต์เดิมลงเมื่อวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. 2557

เพิ่งได้อ่านมังงะ โชเน็งไอน่ารักๆ มา ก็เลยคิดว่าน่าเขียนถึงสักหน่อย

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านมังงะวาย/ยะโอย แล้วรู้สึกว่าไม่กล้า เขินนะ อายนะ กลัวรับเลิฟซีนไม่ได้อะ จะเริ่มจากเรื่อง House Backer นี้ก็ได้ เนื้อหาน่ารักมุ้งมิ้งกำลังดี แล้วก็ตลกด้วย...ที่จริงเราว่ามันตลกมากกว่ามุ้งมิ้งนะ เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มด้วยกันในเชิงโรแมนติก แต่ยังไม่เลยเถิดไปโรแมนซ์บนเตียง



เรื่องย่อๆ คือ อิซึมิ เป็นนักเขียนนิยาย ซึ่งมีไลฟ์สไตล์รั่วสุดๆ กินนอนแบบเสื่อมสุขภาพ บ้านช่องห้องหอไม่มีปัดกวาด จ้างเมด (สาวใช้) มาแล้วหลายราย พ่อคุณก็ไล่เปิดทุกราย จนกระทั่งมาเจอเมด (?) หน้าโหด แต่ฝีมือเรื่องงานบ้านงานเรือนชนะเลิศ อย่าง วะคุอิ มาช่วยดูแลชีวิตให้ ทำไปทำมา อิซึมิ ถึงกับรำพันว่าหมอนี่ต้องเป็นภรรยาที่ดีๆ แน่ อะเฮ้ยยยยยย จะใช่เหรอ?

House Backer เป็นมังงะที่เก่าพอสมควร แล้วก็โคตรสั้นค่ะ มีสองบท ประมาณ 60 หน้า เท่านั้นเอง แต่ดูแกนเรื่องแล้ว น่าจะวางไว้เผื่อเขียนยาวๆ …หรือเปล่า? อาจจะตีพิมพ์แล้วไม่เวิร์คก็เลยหด เหลือแค่สองตอนเท่านี้ (เดาไปเรื่อย) เอ้า สองบท ก็สองบท ยังไงก็ทำให้คนอ่านอมยิ้ม ขำๆ ได้แล้วกัน

อ. อิซะคุ คนวาดเรื่องนี้มีงานดังๆ แนว BL อยู่เหมือนกัน ที่เห็นเชียร์กันนักหนาในบอร์ดชาววายก็คือเรื่อง Tight Rope (อ่านไปหรือยังหว่า? ลืมอะ - -") โดยส่วนตัวก็ชอบงานของอาจารย์นะ ลายเส้นสะอาดตา แล้วมุกตลกก็ฮาดี เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ไปต่อ.

ชื่อเรื่อง : House Backer (ハウスバッカー)
ผู้วาด/แต่ง : นัทซึเมะ อิซะคุ (Natsume Isaku)
ประเภท/แนว : โชเน็งไอ, ตลก
ปีที่ออก : 2543

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

Remebering High Fidelity (8 พ.ค. 2548)

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)

บนกระดาษแฟกซ์เก่าเก็บซีดจางแผ่นหนึ่ง บนหัวกระดาษยังพอมองเห็นข้อความเขียนโดยเพื่อนคนหนึ่งว่า "สนใจมั้ย"
On the old piece of fax paper, ink was faded. But still can see a note form a friend said "Intersting?"

ต่อจากบรรทัดนั้นคือโลโก้บริษัทหนัง ข้อความและรูปดังต่อไปนี้
Below that note is a film comapny logo, text and a picture like this :

Buena Vista International
proudly invite you to...


High Fidelity
Press Screening
Top five songs for letting the person who dumped you know that
Even though they broke your heart, you can't get over them.

1. "I Hate You (But Call me)" - The Monks
2. "Bang Bang (My Baby Shot Me Down)" - Gabor Szabo
3. "I'm Down" - The Beatles
4. "Mama You've Been On My Mind" - Bob Dylan
5. "I Don't Know Why I Love You But I Love You" - Stevie Wonder
-------------------------------------------------------------------------------------
On Wednesday 3rd, May 2000 ----------------- Registerstion 18.00
At Grand EGV ----------------- Showtime 19.30


ถ้านับจากวันที่ฉายรอบสื่อมวลชนเป็นการฉายครั้งแรกในโรงของ High Fidelity จนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 6 ปีกับอีก 5 วัน
นี่ไม่ใช่ข่าว ไม่ใช่เรื่องราว ไม่ใช่บทสัมภาษณ์
เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำที่แว่บขึ้นมาขณะรื้อข้าวของเก่าเก็บในบ่ายวันหยุดวันหนึ่ง
แล้วก็แค่อยากเล่าให้ใครสักคนฟัง เท่านั้นเอง

This is no news, no story, no interview.
Just a piece of memory that popped up while searching my nicknacks and I'd like to share.
Thanks for listening.

JC interviews Naomi Klein (8 ต.ค. 2550)

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)


นาโอมิ ไคลน์ เป็นนักเขียนค่ะ เธอเขียนเรื่อง The Shock Doctrine : The Rise of Disaster Capitalism พูดถึงสงครามอิรักและความเป็นไปของเบื้องหลังตลาดทุนนิยม งานเขียนของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้หนังใหม่ของคุณจอห์นเรื่อง War Inc. และทาง Huffingtonpost.com ก็มีวิดีโอที่คุณจอห์นสัมภาษณ์นาโอมิมาให้ดูกัน (ลิงค์อยู่ท้ายบทความค่ะ) และในหน้าเดียวกันนี้จะมีวิดีโอ พรีวิวของ War Inc. ให้ดูกันด้วย

Naomi Klein's work inspired JC of his new movie : War Inc. Check out VDO of JC interviewing the lady at huffingtonpost.com or click the link below.

ลิงค์ต้นเรื่อง

JC & the White Sox (20 ต.ค. 2548)

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)



ลิงค์บทความต้นเรื่อง
JC & the White Sox

บทความนี้พูดถึงคามเป็นแฟนเบสบอล ของคุณ จอห์น ค่ะ เนื่องจากเธอเป็นชาวเมืองชิคาโก้โดยกำเนิด ซึ่งเมืองนี้จะมีทีมเบสบอลประจำเมืองสองทีมด้วยกันคือ "ชิคาโก คับส์" (Chicago Cubs) หรือ "เดอะ คับส์" (The Cubs) และทีม "ไวท์ ซ็อกซ์" (White Sox) คุณจอห์นเธอสารภาพว่าเป็นแฟนของทั้งสองทีมมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ คนจะเห็นเธอไปนั่งเชียร์ เดอะ คับส์ที่สนามแข่งริกลี่ย์มากกว่า พอมาครั้งล่าสุด มีคนเห็นเธอใส่หมวกไวท์ ซ็อกซ์ ไปนั่งเชียร์ทีมนี้ อยู่ริมสนาม ก็เลยเกิดคำครหาว่า เป็นพวกโลเล ไม่รักจริง เห็นทีมไหนชนะ ก็ไปเชียร์ทีมนั้นล่ะสิ

"ผมก็เป็นแฟนของทั้งสองทีมนั่นแหละ" คิวแส็คว่า "ผมโตขึ้นมาโดยที่รักทั้งทีมเดอะ คับส์และเดอะ ซ็อกซ์ ผมไม่เสียใจ ผมจะไม่ขอโทษในเรื่องนั้น ผมก็แค่แฟนเบสบอลชิคาโกคนหนึ่ง"

แต่เนื่องจากที่ผ่านมา คุณจอห์น เธอไปปรากฏตัวในการแข่งขันของเดอะ คับส์ บ่อยๆ ก็เลยออกจะขวางหูขวางตาคุณ เจอร์รี่ย์ เรนสดอร์ฟ ประธานกรรมการของทีมไวท์ ซ็อกซ์ ก็เลยปฏิเสธ ไม่ยอมให้ตั๋วคุณจอห์นไปดูการแข่งขัน ประมาณว่า ไม่เชื่อว่าคุณจอห์นจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของทีม เมื่อมีบทความเรื่องนี้ออกไป คุณจอห์น ก็เลยต้องต่อโทรศัพท์ไปเคลียร์กับคุณเรนสดอร์ฟเป็นที่เรียบร้อย แล้วเธอก็ได้ไปนั่งเชียร์ทีมโปรดอย่างที่เห็นในภาพนั่นแหละค่ะ

"มีบางอย่างที่งดงามเกี่ยวกับเกมเบสบอล" คิวแส็ค กล่าว "และไม่มีอะไรเหมือนกับการเล่น(เบสบอล)ในเดือนตุลาคม ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาดูพวกเขาในตอนนี้"

Q&A with John Cusack (29 ก.ค. 2548)

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)


บทสัมภาษณ์สั้นๆ จากนิตยสารไทม์ฉบับล่าสุดค่ะ คุณจอห์นคงอารมณ์ดี เพราะเธอ "อำ" คนถามซะ...
*******
ในภาพยนตร์เรื่อง Must Love Dogs จอห์น คิวแส็ค พบรักแบบออนไลน์ แต่ในชีวิตจริง เขายังคงตามหาความรักอยู่
ครอบครัวของคุณคิดอยากให้คุณแต่งงานแต่งการกับใครบ้างไหม?
จริงๆ แล้ว ที่บ้านผมยังไม่มีใครถอดใจกับผมหรอก แต่ก็มีความเศร้าอยู่ลึกๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเดินเข้าไปในห้อง
ได้ยินว่าคุณมักจะรับบทเป็นสุนัขในการเล่นละครของที่บ้าน

แหงล่ะ ผมเป็นน้องคนสุดท้องอยู่ห้าปี ก่อนที่น้องสาวคนเล็กของผมจะมาแทนตำแหน่ง เป็นบาดแผลที่ผมยังรู้สึกเจ็บอยู่จนถึงทุกวันนี้เลย แล้วนี่เราคุยเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย?
คอลัมน์ ถาม-ตอบกับจอห์น คิวแส็คไง คุณอยากให้มันเป็นเรื่องอะไรล่ะ?

บางทีคุณอาจจะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเป็นราวหรอก บางทีคุณไม่ควรมาคุยกับผมด้วยซ้ำไป
แล้วตกลงคุณจะตั้งสำนักงานหาเสียงเลือกตั้งหรือเปล่า?

ตั้งสิ
เมื่อไหร่?

ตอนนี้ไง
หาเสียงเพื่อตำแหน่งอะไรล่ะ?

เป็นจักรพรรดิ
จักรพรรดิของอะไรมิทราบ? 

ของจักรวาลนี้ไง ก็ของทุกอย่างที่คุณจะนึกออกนั่นแหละ ผมกะว่าจะเทคโอเวอร์อาณาจักรของพระเจ้าน่ะ
ทำไมคุณไม่เขียนบล็อกใหม่ๆ บ้าง?

ผมก็เขียนไปทีนึงแล้วไง
ธรรมชาติของการเขียนบล็อกก็คือคุณต้องเขียนอย่างสม่ำเสมอนะ

ไม่ใช่ผมแน่ ผมเขียนบล็อกทุก 10 ปีน่ะ
นี่คุณกินอะไรอยู่น่ะ?

ถั่วน่ะสิ นี่คุณจะเขียนลงหนังสือใช่มั้ย-ว่าหมอนี่ไม่รู้จักมีมารยาทตรงที่กินไม่ยอมเลิกน่ะ?
เราจะได้เห็นคุณไปเชียร์ทีม The Cubs (ทีมเบสบอลปรจำเมืองชิคาโก้-สุดโปรดของคุณจอห์น)ในการแข่งขันระดับโลกปีนี้หรือเปล่า?

The Cubs คงได้ไปแข่งงานนี้กับเขาซักทีล่ะ เพราะว่าผมคงอยู่ที่บัลแกเรีย (เธอกำลังอำว่า เธอไปเชียร์ทีมนี้ที่สนามทีไร เป็นแพ้ทุกที ฮ่า...เหมือนคนเขียนเลย นั่งเชียร์ลิวเอร์พูลทีไร แพ้ต-ล-อ-ด)
******
Source : นิตยสารไทม์ ฉบับประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2548 เขียนโดย รีเบ็คก้า วินเทอร์ส์ 
Thanks to Eeyore for passing on this story.

วันเยี่ยมชมกองถ่าย Shanghai ในกรุงเทพฯ (9 ส.ค. 2551)

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)









เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการเปิดให้สื่อมวลชนเข้าเยี่ยมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Shanghai ของคุณจอห์นที่สตูดิโอมูนสตาร์ ย่านประชาอุทิศ เป็นฉากระดับอลังการงานสร้าง เพราะสร้างย่านทั้งย่านขึ้นมาใหม่ เฉพาะตึกคาสิโนย้อนยุคที่เป็นฉากสำคัญก็ใหญ่มหึมาแล้วล่ะค่ะ ข่าวว่าใช้ทีมงานทั้งหมดกว่า 800 ชีวิต โดยเป็นคนไทยมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ใช้งบประมาณกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่า “สิวๆ” ตามมาตรฐานของฮอลลีวูด ทั้งผู้กำกับฯ และโปรดิวเซอร์ปลื้มกับการถ่ายทำในเมืองไทยครั้งนี้มาก โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่บอกว่างบประมาณไม่บานปลายเพราะค่าใช้จ่ายที่บ้านเราไม่แพงเลย หลังจากนั้นก็เป็นการเปิดให้สัมภาษณ์นักแสดงและผู้กำกับฯ มิคาเอล ฮาฟสตรอม (หนุ่มเคราครึ้มคนที่สวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดงแก่และหมวกแก๊ปในภาพ)

ฝ่ายคุณจอห์นของเราบอกว่านี่เป็นฉากถ่ายหนังที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยแสดงมา คุณก่งลี่ก็บอกว่าฉากที่นี่น่ะ ใหญ่กว่าและสวยกว่าฉากที่เมืองจีนสียอีก แถมยังบอกว่าอีกหน่อย ถ้าใครอยากถ่ายหนังที่มีฉากในเซี่ยงไฮ้ล่ะก็ มาใช้ที่นี่ได้เลย

กลับมาที่คุณจอห์น เธอให้สัมภาษณ์ว่าการได้แสดงหนังเรื่องนี้เป็นโอกาสที่หายากยิ่ง เพราะนี่คือหนังทุนหนาที่มีขอบข่ายงานใหญ่มาก มีงานสร้างระดับคุณภาพ แล้วยังได้ผู้กำกับฯ และนักแสดงที่เก่งมากๆ มาร่วมงานด้วย ซึ่งหลังจากที่ได้ข่าวว่าผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้สนใจจะให้คุณจอห์นมาแสดง เธอก็ล็อบบี้สุดฤทธิ์เพื่อให้ได้บท

"นักแสดงคนไหนๆ ที่มีสติดีก็ต้องอยากแสดงหนังเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละครับ“ เธอว่า นอกจากนี้เธอยังเป็นปลื้มที่ได้แสดงกับซูเปอร์สตาร์ของเอเชียทั้งก่งลี่, โจวเหวินฟะและเคน วาตานาเบะเอามากๆ แถมครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่คุณจอห์นได้มาถ่ายหนังที่เอเชีย แต่น่าเสียดายที่เธอยังไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวเมืองไทยสักเท่าไหร่เพราะตารางงานแน่นเอี้ยดด้วยคิวถ่ายทำสัปดาห์ละหกวัน อย่างไรก็ตาม เธอก็หยอดคำหวานไว้ว่าชื่นชอบความมีน้ำจิตน้ำใจอันอบอุ่นของคนไทยมากๆ เลย

"จริงๆ ผมก็อยากจะกลับมาที่นี่เพราะคนไทยนะครับ คนไทยเป็นคนที่มีน้ำใจ ทั้งอบอุ่นและน่ารักอย่างเหลือเชื่อ เป็นเรื่องดีมากๆ ที่ผมได้ทำงานกับคนไทย ทีมงานที่นี่ยอดเยี่ยมมากและทุกคนที่ผมได้เจอระหว่างอยู่ที่นี่ก็น่ารักมากครับ” 

นับว่าคุณจอห์นเธอประทับใจคนไทยเอามากๆ ส่วนคนเขียนก็ประทับใจรองเท้าคุณจอห์นในวันสัมภาษณ์มากๆ :)

ตามกำหนดการทีมงานจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Shanghai ในเมืองไทยจนถึงวันที่ 12 สิงหาคมนี้ค่ะ.

The Raven

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans)

วันพุธที่ 25 เมษายน 2555


ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของคุณจอห์น "The Raven" เข้าฉายในบ้านเราแล้วนะคะ ในชื่อไทยว่า "เจาะแผนคลั่ง ลอกสูตรฆ่า" เป็นหนังแนวตื่นเต้น สืบสวน-สอบสวน โดยนำเอาบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง (เอ็ดการ์ อลัน โป นักเขียนและนักกวี แสดงโดย จอห์น คิวแซ็ค) กับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของเขามาผูกโยงเป็นเรื่องเป็นราว ดูได้เพลินๆ ดีค่ะ มีฉากตื่นเต้นตกใจและหวาดเสียวเป็นครั้งคราว คุณจอห์นก็น่ารักสมวัยนะคะ ^^ 

The Paper Boy

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans ค่ะ)

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555


 ฉายแล้วนะจ๊ะ The Paper Boy หนังใหม่ (ของบ้านเรา) ที่มีคุณจอห์นแสดงด้วย ในเรื่องนี้เธอไม่ได้เป็นตัวเอกค่ะ แต่บทเด่นพอสมควร โดยแสดงเป็นนักโทษที่กำลังจะโดนประหารจากข้อหาฆ่าตำรวจ แต่มีแก๊งนักข่าวพยายามขุดคุ้ย พลิกคดีที่ดูไม่ชอบมาพากล โดยมีแฟนสาวสุดเซ็กซี่ในเรื่องของคุณจอห์น ซึ่งแสดงโดย นิโคล คิดแมน ร่วมด้วยช่วยกัน ดาราอื่นๆ ที่แสดงนำ ได้แก่ แมทธิว แมคคอนาฮีย์ และ หนุ่มน้อยตาสวย แซค แอฟรอน รวมถึงนักร้องสาวใหญ่ เมซีย์ เกรย์ (เข้าใจว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกของเธอ) หนังโดยรวมดิบและเถื่อนเอาเรื่องนะคะ เป็นหนังติดเรทค่ะ ต้องอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป ถึงจะเข้าชมได้ เนื่องจากมีการใช้ความรุนแรงและมีฉากส่อนัยทางเพศที่แรงมากๆ แฟนคลับที่คุ้นชินกับบทหนุ่มแสนดี น่ารักน่าสงสารที่คุณจอห์นเธอแสดงบ่อยๆ อาจช็อครับประทานได้ค่ะ เพราะเธอพลิกบทบาทแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

เข้าใจว่าหนังเข้าฉายแบบจำกัดโรงนะคะ เท่าที่เห็นลงโปรแกรมไว้คือโรงในเครือ Apex (ลิโด้) และ House RCA ค่ะ ถ้าสนใจก็ต้องรีบหน่อยนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้กี่อาทิตย์ ^^'

The Numbers Station : หนังที่ไม่ได้เข้าโรงในไทยของคุณจอห์น

(หมายเหตุ : บทความนี้ย้ายมาจากบล็อกเดิมคือ all about Cusack for Thai fans)

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2556

วันนี้เปิดหนังสือพิมพ์ไปที่หน้าโฆษณาหนังใหม่เข้าโรง เจอโฆษณาตัวนี้เข้าค่ะ


อันว่าโฆษณาหนังที่มีเขียนกำกับว่า "เร็วๆ นี้" เนี่ย มักจะไม่ได้เข้าฉายโรงใหญ่นะคะ โปรดทำใจว่า เราอาจจะต้องไปรอสอยดีวีดีกันแทน

The Numbers Station เป็นหนังใหญ่เรื่องล่าสุดของคุณจอห์น แต่ดูเหมือนจะไม่ฮอตฮิตเอาเสียเลย ในเรื่องนี้คุณจอห์นแสดงเป็นซีไอเอตกอับที่ต้องพิสุจน์ตัวเองว่า "ยังไหว" โดยรับงานคุ้มครองสาวนักถอดรหัส (มาลิน เอเคอร์แมน) ระดับลับสุดยอดที่จะต้องปฏิบัติการลับในสถานที่ปิดตาย ตามปกติแล้วเป็นงานที่น่าเบื่อ เพราะเหมือนเป็นยามนั่งเฝ้าสถานี แต่แล้ววันหนึ่งก็มีผู้ก่อการร้ายที่ต้องการชิงข้อมูลสำคัญบุกเข้ามาแบบเงียบๆ พระเอกก็ต้องพานางเอกหนีตามสูตรค่ะ

เป็นหนังระดับกลางๆ นะคะ คือดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ คนเขียนพอจะมองเห็นว่าทำไมคุณจอห์นถึงรับเล่น แต่หนังโดยรวมมันจืดเสียจนหาจุดเด่นไม่ได้ค่ะ

Love & Mercy



(หมายเหตุ : นี่เป็นการย้ายบางบทความมาจากบล็อก all about Cusack for Thai fans ที่หลังๆ คนเขียนไม่ได้อัพเดทแล้วค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่รักคุณจอห์นแล้ว แต่คือขี้เกียจ 555)

Love & Mercy หนังใหม่ล่าสุดของคุณจอห์นกำลังจะเข้าฉายในวันที่ 18 มิถุนายน 2558 นี้ค่ะ เป็นหนังชีวประวัติของ ไบรอัน วิลสัน สมาชิกคนสำคัญของวง The Beach Boys ที่เป็นวงดนตรีชื่อดังของสหรัฐฯ ในยุคเดียวกับ The Beatles และ The Rolling Stone ค่ะ 

หนังไม่ได้เล่าเรื่องของ วิลสัน ตั้งแต่เกิดจนแก่หรอกนะคะ เป็นลักษณะของการตัดภาพให้ดูชีวิตช่วงรุ่งเรืองที่สุดของเขาสลับกับชีวิตหลังจากนั้น ซึ่งเขาล้มป่วยเป็นโรคจิตเภทและหวาดระแวง แถมโชคร้าย ไปเจอหมอไร้คุณธรรม วางยาจนเขาแทบจะเป็นบ้าไปจริงๆ จนกระทั่งมาเจอผู้หญิงคนสำคัญในชีวิตของเขา ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่ด้วยกันจนถึงวันนี้

คนเขียนย่องไปดูรอบพิเศษมาแล้ว หนังยาวทีเดียวนะคะ อิงรูปแบบหนังสารคดีเป็นบางช่วง ซึ่งอาจจะน่าเบื่อสำหรับบางคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ใช่แฟนเพลงวง The Beach Boys แต่โดยรวมๆ แล้วเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งค่ะ พอล ดาโน ที่แสดงเป็น วิลสัน ในวัยเยาว์เล่นดีมากๆ ค่ะ ถ้าไปค้นดูรูปเก่าของ ไบรอัน วิลสัน จะพบว่าเขาดูคล้าย วิลสันตอนหนุ่มๆ มาก คุณจอห์นก็เล่นดีค่ะ แต่บทของเธออาจจะเรียบกว่า สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามงานของเธอก็อาจจะรู้สึกเหมือนไม่ได้แสดงอะไร แต่คนที่ดูหนังเกือบทุกเรื่องของเธอจะเห็นเลยว่าเธอทิ้งคาแรคเตอร์ตัวเองไปเยอะมาก แล้วพยายามเป็น วิลสัน จริงๆ 

แอบหมั่นไส้เล็กน้อยกับคำโฆษณา/คำวิจารณ์ที่บอกว่า เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของ จอห์น คูแซค แหมๆๆ ไม่เคยดูหนังเรื่องอื่นของเธอหรือไง เอา High Fidelity ไปไว้ไหนกันคะ คุณ หรือว่าเกิดไม่ทัน? (เอ๊ะ นังแม่ยกนี่ เขาชมนะ ยังจะเรื่องมาก ^^)

อ้อ แล้วนามสกุลของเธอน่ะ "คิว" แส็ค นะคะ ไม่ใช่ "คู" แซค. ;)